หลังจาก ที่มีคลิปจาก ทางช่อง Life of car ออกมาเปิดเผย ในเชืงเล่าวความจริงเกี่ยวกับ รถยนต์ไฟฟ้า ในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะตอนล่าสุด ใช้หัวข้อที่พูดถึงว่า EV = ลัทธิแห่งการหลอกลวง จนผู้เชี่ยวชาญ EV หลายคนออกมาตอบโต้ และแสดงท่าทีต่างๆมากมาย ว่า มีข้อเท็จจริง ที่อาจจะพลาดไปในการนำเสอนครั้งนี้
หนึ่งในข้อตอบโต้ที่ถูกนำมาอ้าง มีการกล่าวอ้างถึงการศึกษาของทางวอลโว่ ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในกลุ่มพรีเมี่ยม ซึ่งมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะส่วนที่น่าสนใจ คือ วอลโว่มีการศึกษา สิ่งที่เรียกว่า Product Carbon footprint ในหลายโมเดล เพื่อตอบคำถามสังคม ในฐาน บริษัทที่ให้ความสำคัญกับคำว่าความยั่งยืน
จนพวกเขาวางแผนธุรกิจว่า จะเป็นหนึ่งในเสือ รถยนต์ไฟฟ้า แม้ปีที่ผ่านมา จะต้องชะลอท่าที เนื่องจากมีลูกค้าจำนวนมากยังต้องการรถสันดาป และรถยนต์ไฮบริดเสียบปลั้กก็ตามที
รายงาน Carbon Foot Print ของวอลโว่ เป็นเอกสารที่เปิดเผยต่อสาธารณชน และ มักถูกนำมาชี้ว่า ยังไงเสีย EV ก็สะอาดกว่ารถสันดาป
หลังจากได้รับชม ในประเด็นวีดีโอ ผมได้ตามหารายงานนี้ และวันนี้เราจะมาลองแกะข้อมูลว่า รถยนต์ไฟฟ้า จะสะอาดกว่าสันดาป หรือไม่ อย่างที่ชาว EV พยายามบอกคุณมาเสมอ
เท่าที่ค้นหามาผม พบว่า รายงานของ Volvo C40 ค่อนข้างน่าสนใจ ด้วยเหตุผลว่า มันเป็นรถรุ่นใหม่ของวอลโว่ แต่ถ้าเจาะลึกลงไป มันมีแฝดผู้พี่ XC 40 ที่มี ทั้งรุ่นสันดาป ไฮบริดเสียบปลั้ก และ ไฟฟ้า ให้ลูกค้าเลือกตามความสะดวก
โดยทางวอลโว่ ได้เลือก เอารถสันดาป Volvo XC40 มาใช้ ในการทำข้อมูล (แต่ไม่ได้ระบุชัดว่ารุ่นไหนแน่) โดยรถรุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ คาดว่าน่าจะรุ่น 197 แรงม้า มาเป็นตัววัดในการวิจัยดังกล่าว
ในส่วนตัวรถยนต์ไฟฟ้าได้ใช้ C40 recharge ซึ่งก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอย่างเป็นทางการ บอกแค่ว่า มันเป็นรุ่นแบต 78 Kw คาดว่า จะเป็นรุ่น 2 มอเตอร์ตัวแรก ที่ออกมาในปี 2022
ทางด้าน XC40 ที่อ้างอิงในบทความ จึงคาดว่าจะเป็นรุ่น 2 มอเตอร์ เช่นกัน ทั้งคู่ มาพร้อมแบตเตอร์รี่ขนาด 78 Kw
ในการวิจัยของวอลโว่ ขั้นตอนการวิจัย ใช้กระบวนการจากการเก็บข้อมูลของวอลโว่เอง ที่เรียกว่า LCA software โดยมี ผู้ผลิตชั้นส่วนหรือ Supplier ช่วยป้อนข้อมูล รวมถึง ส่วนงานต่างๆของวอลโว่ เช่นการจัดส่งและการขนสินค้า , หรือกระบวนการในโรงงานประกอบ
สิ่งที่น่าสนใจในวอลโว่ คือพวกเขาตรวจสอบย้อนไปตั้งแต่การจัดหาวัสดุมาทำชิ้นส่วน หรือ Material Production & refining หลังจากนั้น มาดูขั้นตอน ประกอบและผลิตรถยนต์ของวอลโว่
การศึกษานี้มองไปถึงการใช้งานรถวอลโว่ จนมีระยะทาง 200,000 กิโลเมตร หรือ ราวๆ 10 ปี นับตั้งแต่ลูกค้ารับมอบ (คนปกติใช้รถราวๆปีละ 20,000 กิโลเมตร)แต่ภายหลังออกมาเปิดเผยว่า ทางวอลโว่มองว่า เป็นการใช้รถนานถึง 15 ปี
และท้ายสุดที่เหนือกว่าคนอื่น คือ วอลโว่ มองถึงขั้นตอนในการทำลายรถยนต์คันนั้นๆ และการจัดการขยะด้วย จนหลายคนให้ความสนใจ กับรายงานของวอลโว่
ในรายงานของ ระบุว่า การป้อนข้อมูลในฝั่งแบตเตอร์รี่เป็นหน้าที่ของ CATL และ LG Chem ผู้ผลิตชิ้นส่วนในการให้ข้อมูลกับ วอลโว่ ก่อนที่จะถึงขั้นตอนที่ วอลโว่ไปรับแบตเตอร์รี่มาสู่โรงงานประกอบของบริษัท
ส่วนข้อมูล ในโรงงาน เนื่องจากรายงานดังกล่าว ทำขึ้นในช่วง 2022 จึงใช้ข้อมูลในปี 2019 นำมาอ้างอิงในรายงานดังกล่าว
ด้าน ขั้นตอนของการใช้งาน หรือ Use Phase ทางวอลโว่ได้วางให้ รถยนต์สันดาป เติมน้ำมันประภท E5 หรือ น้ำมันที่มีเอทานอล 5% (ในบ้านเรามาตรฐาน 10%)ส่วนไฟฟ้าที่ใช้ในการวิจัย นั้นใช้การคำนวนจากกริดไฟฟ้าในสหภาพยุโรป หรือ เรียกว่า EU28 เป็นหลัก
ทางวอลโว่ ยังได้เปรียบเทียบกับการใช้ Wind Electriccity หรือ พลังงานลม และ กริดไฟฟ้าโดยเฉลี่ยของทั่วโลก ด้วย
จากการศึกษา Carbon footprint C40 Recharge วอลโว่เปิดเผยยอมรับ ในขั้นตอนการจัดหาอลูมินั่ม เพื่อมาทำตัวถัง และ ขั้นตอนการจัดหาร Li-on มาสรา้งโมดูลแบตเตอร์รี่นั้น ค่อนข้างจะสร้างมลภาวะ ค่อนข้างสูง โดยคิดเป็นถึงร้อยละ 30 ของปริมาตรคาร์บอนของการใช้รถ ตั้งแต่สร้างจนกระทั่งเลิกใช้งาน
ที่น่าสนใจ คือกระบวนการสร้างชิ้นส่วนโมดุลแบตเตอร์รี่ เพียงขั้นตอนเดียวสร้างมลภาวะไปแล้ว 7 ตันของ Co 2
ขณะที่ขั้นตอนการจัดหาวัสดุและแร่มาผลิตรถ รถยนต์ไฟฟ้าปล่อย Co 2 มากกว่ารถสันดาป 4 ตัน แต่กลายเป็นว่า ในขั้นตอนการประกอบกลับมีมลภาวะน้อยกว่า 0.3 ตัน (อาจจะด้วยชิ้นส่วนและขั้นตอนที่น้อยกว่าในการประกอบรถ)
ในช่วงการใช้รถ เมื่อวัดการใช้งานถึง 200,000 กิโลเมตร นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า รถยนต์ไฟฟ้าอาจจะลดการปล่อยไอเสียได้ในระยะยาว
ทางวอลโว่ชี้ว่า หากเทียบกะบรถสันดาป XC40 เติมเอทานอล 5% รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้าในสหภาพยุโรป (ที่มีการพัฒนาพลังงานสะอาดต่อเนื่อง) จะมีจุดคุ้ม Co 2 หรือ Break Event Point 77,000 กิโลเมตร และ หากเปรียบเทียบกับไฟฟ้ามาตรฐานทั่วโลก จะคุ้มทุน Co 2 ในขั้นตอนการผลิตที่ 110,000 กิโลเมตร
จากการศึกษาพบว่า ตั้งแต่ผลิต ใช้รถ 2 แสนก.ม.แล้วไปทำลาย จะปล่อย Co 2 ตลอดช่วงชีวิต 50 ตัน แต่ถ้าใช้พลังงานลม จะทำให้การปล่อยมลภาวะลดลงไปครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 27ตันเท่านั้น
หรือ หากพูดให้ถูกต้องตามรายงานดังกล่าว คือ คาร์บอนของรถยนต์ไฟฟ้ามาลดในขั้นตอนการใช้งาน แต่แหล่งที่มาของไฟฟ้า ว่าสะอาดหรือไม่ มีความสำคัญมาก ต่อการลดมลภาวะ เนื่องจาก ได้สร้างมลภาวะมากกว่าในขั้นตอนการผลิตแบตเตอร์รี่ ซึ่งวอลโว่เอง ชี้ว่า การผลิตแบตเตอร์รี่ยังค่อนข้างใหม่มาก เมื่อเทียบกับผลิตเครื่องยนต์สันดาป
อย่างไรก็ดี ,เมื่อมาดูรายงาน Carbonn foot Print EX30 กลับน่าสนใจมากกว่า แม้ว่าในภาพรวม ทางวอลโว่ จะสามารถทำให้เจ้าน้องน้อย มีการปล่อยไอเสียรวมค่อนข้างต่ำ เพียง 36 ตัน ใน รุ่น แบตเตอร์รี่ 69 กิโลวัตต์ และ 31 ตัน ใน รุ่นแบตเตอร์รี่ 51 กิโลวัตต์
แต่ส่วนที่น่าสนใจ คือการผลิตแบตเตอร์รี่ โดยเฉพาะแบตเตอร์รี่ขนาด 61 Kw กับปล่อยคาร์บอนมากขึ้น ถ้าเทียบกับ C40 ที่ปล่อยคาร์บอนราวๆ 7 ตัน ในการสร้างแบตเตอร์รี่ แต่แบตของ EX30 ปล่อยถึง 7.8 ตันในขั้นตอนดังกล่าวทั้งที่แบตเตอร์รี่มีขนาดเล็กลง
ขณะที่ช่วงขั้นตอนการใช้งาน วอลโว่ชี้ว่า รถยนต์ไฟฟ้า Volvo EX30 รุ่นแบตเตอร์รี่ 69 KW จะปล่อยไอ้เสียโดยเฉลี่ยราวๆ72 กรัม / กิโลเมตร และ 70 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่น แบต 51 Kw
แต่วอลโว่ ก็มายอมรับกลายๆใน EX30 ว่า ในการศึกษาก่อนหน้านี้ อาจจะไม่ได้มองถึงความจริง เช่นการต้องเปิดแอร์ หรือระบบทำความร้อนในรถ งวดนี้เลยศึกษา การใช้พลังงานมากกว่าเดิมในขั้นตอนใช้ โดยมีการใช้พลังงานมากวก่าปกติ 20 และ 30%
ผลปรากฏว่า EX30 รุ่นแบตเตอร์รี่ 69 KW ปล่อยไอเสียเพิ่มเป็นสูงสุด 40 ตัน ต่อช่วงอายุ รุ่นแบต 51 สูงสุด 35 ตันตลอดช่วงอายุ
ทว่าครั้งนี้ไม่เปิดเผยเรื่องจุดคุ้มคาร์บอน เหมือนในรายงานฉบับก่อน แต่ยังพูดในเชิงเดิมว่า การผลิตแบตเตอร์รี่จะปล่อยไอเสียน้อยลง และที่มาของไฟฟ้านั้นสำคัญ
เปรียบเทียบระหว่าง เทคโนโลยี ไฟฟ้า ,ไฮบริด ,สันดาป
อย่างไรก็ดี ,ปัจจุบัน มีหลายคนกังขาว่า แล้วถ้าเราเปรียบเทียบ รถยนต์ไฟฟ้ากับรถไฮบริดล่ะ แบบไหนจะปล่อยไอเสียมากกว่า
เป็นเรื่องดีที่วอลโว่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมาก พวกเขาเลยทำรายงาน Carbon Foot Print ใน Volvo EX90 ออกมา มันมาพร้อมการเปรียบเทียบการปล่อยไอเสียของเทคโนโลยีแต่ละตัว
คู่เทียบของเทคโนโลยี EX90 ใช้ รถยนต์ Volvo XC 90 ทั้งรุ่น PHEV นำเสนอระบบ ไฮบริดเสียบปลั้ก และ รุ่น MHEV ใช้เทคโนโลยี Mild Hybrid เช่นเดิม พวกเขาศึกษา ตั้งแต่กระบวนการสร้างรถจนถึงสิ้นสุดการใช้ โดยมีช่วงชีวิตการใช้ 15 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร
แน่นอน การเปรียบเทียบในครั้งนี้ จะต่างจาก EX30 และ C40 Recharge ด้วยรถมีขนาดใหญ่ และสร้างคนละแพลทฟอร์มเพียงแต่เป็นรถขนาดเดียวกัน คลาสเดียวกัน
ครั้งนี้ ทางวอลโว่ ระบุ รุ่นรถที่นำมาเปรียบเทียบอย่างชัดเจน ประกอบด้วย
- EX90, Twin Motor, electric, Plus, 7-seat (BEV)
- XC90, T8 AWD plug-in hybrid, electric/petrol, Plus, 7-seat (PHEV)
- XC90, B6 AWD mild hybrid, petrol, Plus, 7-seat (ICE)
ทุกรุ่น จะมีแบตเตอร์รี่ ลิเธียมไออน ที่ผลิตจากในประเทศจีน มีขนาด 111, 18.8 และ 0.37 kw ตามลำดับ
จากการศึกษาผลการวิจัย ไม่ได้เปิดเผยเพียงกราฟ ที่สื่อโซเชี่ยลเพจรถ EV ชอบนำมาเสนอ เท่านั้น ที่จริงแล้ว ในรายงานวิจัยนี้ได้เปิดเผยเรื่องที่น่าสนใจ คือ เทคโนโลยี PHEV ปล่อยคาร์บอน มากกว่า BEV ราวๆ 23% เมื่อใช้โครงข่ายไฟฟ้า ลักษณะเดียวกัน ซึ่งในกรณีศึกษาได้อ้างอิง ข่ายไฟฟ้าของยุโรปที่มีการพัมนาพลังงานหมุนเวียนใหม่เพิ่มมากขึ่นตามลำดับ
จากข้อมูล EX90 ตลอดอายุการใช้งาน จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งหมด 37 ตัน รถยนต์ XC90 PHEV จะปล่อยไอเสียทั้งหมด 48 ตัน ส่วน XC90 MHEV จะปล่อยไอเสียทั้งสิ้น 73 ตัน ตั้งแต่ผลิต จนสิ้นสุดอายุการใช้งาน และมีระยะทางการใช้งาน 200,000 กิโลเมตร
และหากเปรียบเทียบการปล่อย CO 2 ตลอดอายุการใช้งาน ตามการศึกษา EX90 จะปล่อยราวๆ 0.18 กรัม ต่อกิโลเมตร ส่วน PHEV จะปล่อยไอเสีย 0.24 กรัมต่อกิโลเมตร ส่วน MHEV (ICE) จะปล่อยไอเสีย 0.37 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
แต่เมื่อทาง วอลโว่ เปรียบกับ ข้อมูลโครงข่ายไฟฟ้าทั่วโลก ซึ่งอาจจะแตกต่างจากของยุโรป ปรากฏว่า EX 90 จะปล่อยไอเสีย ใกล้เคียงกับรถ PHEV ที่ใช้โครงข่ายไฟฟ้า ในยุโรป
เมื่อนำมาเปิดเผยถึงจุดคุ้มคาร์บอน แบบที่ทำใน C40 Recharge ปรากฏว่า น่าสนใจมากที่ Volvo EX 90 มีจุดคุ้มคาร์บอน เมื่อเทียบกับ Volvo XC 90 PHEV 63,000 กิโลเมตร และถ้าเทียบกับ X90 MHEV (ICE) จะต่ำกว่าเกือบคนรึ่ง เพียงใช้รถ 33,000 กิโลเมตร ก็คุ้มค่าคาร์บอนแล้ว
ถึงแบบนั้นทางวอลดว่ ก็ยังยอมรับว่ าปัญหาใหญ่ของรถยนต์ไฟ้า คือขั้นตอนในการผลิตแบตเตอร์รี่แรงดันสูง เพื่อใช้ในการขับเคลื่อน โดยมีคาร์บอนสูงถึง ร้อยละ 25 ของ CO2 ทั้งหมด ทั้งในขั้นตอนการจัดหาแร่ และ การผลิตแบตเตอร์รี่
อย่างไรก็ดี ,ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่ แหล่งที่มาของไฟฟ้าที่นำมาใช้ในรถว่ามีความสะอาดมากน้อยเพียงใด ซึ่งทางวอลโว่ชี้ว่า การพยายามมุ่งสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน อาจจะช่วยลดไอเสียได้มหาศาล ถ้าภาครัฐทุกประเทศเอาใจใส่ ในเรื่องนี้
ยิ่งเมื่อมาดูในช่วงการใช้งาน หรือ Use phase EX90 จะปล่อยไอเสียราวๆ 7.6 ตัน เท่านั้น ในระหว่างการใช้งานที่ 2 แสนกิโลเมตร และ ปล่อยเพียง 5 ตันเท่านั้นที่การใช้ 150,000 กิโลเมตร
ขณะที่ วอลโว่ XC90 PHEV จะปล่อย 23 และ 24 ตัน ของคาร์บอนไดออกไซด์ และเมื่อใช้งานหนักก็จะยิ่งปล่อยไอเสียมากขึ้น ตามไปด้วย
สรุป รถยนต์ไฟฟ้า รักษ์โลกจริง มั้ย
อันที่จริง ,ตั้งแต่เริ่มศึกษาข้อมูลทางด้านรถยนต์ไฟฟ้ามา และได้ดูรายการของทาง LOC เราต้องยอมรับว่า มันมีข้อเท็จจริงสำคัญเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าหลายประการด้วยกัน
ที่สำคัญที่สุดคือ รถยนต์ไฟฟ้ามีการปล่อยมลภาวะสูงในขั้นตอนการผลิต ก่อนจะมาถึงมือผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนการผลิตและจัดหาแร่พัฒนาแบตเตอร์รี่ ซึ่งวอลโว่ได้ชี้แล้วว่า มันสร้างมลภาวะมากถึง 25-30% เมื่อเทียบกับ รถยนต์สันดาป หรือการผลิตแบตเตอร์รี่ที่เล็กกว่า ออกมา
แต่รถยนต์ไฟฟ้าจะมาลดมลภาวะคืนในช่วงขั้นตอนการใช้รถของผู้ใช้ในภายหลัง ยิ่งใช้งานระยะยาวทางยาว ยิ่งลดการปล่อยไอเสียได้มาก
หากเรื่องสำคัญก็ไม่พ้น แหล่งที่มาของระบบโครงข่ายไฟฟ้า จะต้องสะอาดและ ต้องมีการใช้พลังงานหมุนเวียน เยอะขึ้นเพื่อลดการจัดหาไฟฟ้าจากกระบวนการสันดาป ซึ่งโครงข่ายไฟฟ้าในยุโรป ตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และมีความพยายามในการจัดหาไฟฟ้า ที่เป็นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
แต่ ทางวอลโว่ก็ไม่ได้ไปเจาะลึกถึงว่า กว่าจะมาเป็นพลังงานหมุนเวียน ที่เรามองว่ามันสะอาด อุปกรณ์สร้างพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะแผงโซล่าร์เซลล์ หรือ กังหันลม ได้สร้างมลภาวะไปก่อนเท่าไร เพื่อสร้างพลังงานสะอาด
แต่วอลโว่ชี้ว่า โครงข่ายไฟฟ้าสากล ที่มีข้อมูลและนำมาศึกษาในครั้งนี้ จะปล่อยคาร์บอนในการจัดหาไฟฟ้าราวๆ 0.45 กรัม ต่อกิโลวัตต์ ส่วนไฟฟ้าในยุโรปจะมีการปล่อยคาร์บอนราวๆ 0.18 กรัม ต่อกิโลวัตตN
อย่างไรก็ดี, การศึกษาทางคาร์บอนฟุตปรินท์ ของ วอลโว่ ยังมีบางประเด้นที่อาจไม่สามารถตอบชัดว่า รถยนต์ไฟฟ้้า รักษ์สิ่งแวดล้อม จริงหรือไม่ เนื่องจาก เขาเน้นไปที่การศึกษาในส่วน Green House Gas หรือ แก๊สเรือนกระจก เป็นหลักในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ผลิต ใช้ จนทำลาย
ทั้งที่ในขั้นตอนการทำลาย ยังมีการพูดถึง กระบวนการจบชีวิตรถ ด้วยการฝังกลบด้วย ซึ่งในการศึกษารายงานดังกล่าวไม่ได้มีหัวข้อหรือ ศึกษาในเรื่องนี้อย่างชัดเจนจริงจัง
ที่มา รายงาน Carbon footprint C40 Recharge,EX30 และ EX90