จากความจริงที่ว่า Subaru Forester เจเนอเรชันที่ 6 กำลังเตรียมที่จะวางขายจริงในบ้านเกิดอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้ทางค่ายไม่รอช้า รีบเผยไลน์อัพทางเลือกของมันออกมาก่อน และหนึ่งในไลน์อัพที่น่าสนใจที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นรุ่น “X-Break”
2025 Subaru Forester : X-Break ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจลูกค้าสายลุย ชอบผจญภัย ดังนั้น มันจึงมาพร้อมกับชุดแต่งรอบคันที่เน้นเพิ่มความสมบุกสมบันให้กับตัวรถ ทั้งตัวครอบกระจังหน้าแบบใหม่ ทำขึ้นจากวัสดุพลาสติกพิวด้าน พร้อมปั๊มตัวอักษรชื่อแบรนด์ไว้ด้านบนเพื่อความดุดัน และยังลากปาดไปจนถึงแนวไฟหน้า
พร้อมกันนี้ยังมีการติดตั้งแผ่นพลาสติกกันกระแทก เอาไว้ที่ประตูทั้ง 4 บาน รวมถึงบริเวณข้างไฟหน้ากับไฟท้าย เพื่อลดโอกาสตัวถังได้รับความเสียหาย หรือโคมไฟแตกขณะบุกป่าฝ่าดง, เพิ่มตัดปิดขอบแร็คหลังคาและจบงานด้วยการแปะสติ๊กเกอร์สีดำไว้บนฝากระโปรง, แปะสติ๊กเกอร์รูปภูเขา เอกลักษณะประจำตัวไว้ที่ชายล่างบานประตูทั้งด้านข้างและด้านหลัง กับทำสีกรอบกันกระแทกที่กันชนหน้ากับกันชนท้ายให้กลายเป็นสีฟ้าเพื่อตัดโทน
โดยหากภาพลักษณ์ขาลุยไม่ถูกใจ ทาง Subaru ยังมีชุดแต่ง STi-Sport มาให้เพื่อปรับภาพลักษณ์รถให้ดูซิ่งยิ่งขึ้น จากการติดตั้งลิปสปอยเลอร์ด้านหน้า, ชายล่างข้างตัวถังและท้ายรถ ซึ่งทั้งหมดสามารถเลือกทำเป็นสีแดงเพื่อตัดโทนได้, ติดตั้งล้อ 18 นิ้วสีดำ, และมีครอบปลายท่อประทับโลโก้ STi ให้มาด้วย
หากไม่พอ ยังมีทางเลือกท่อไอเสียเสริมสมรรถนะยกเส้น ที่จะช่วยเพิ่มทั้งอัตราการตอบสนองของคันเร่ง และยังทำให้รถสามารถเรียกอัตราเร่งได้เรียบเนียนยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องมีการปรับจูนกล่อง ECU หรือสมองกลเกียร์ใหม่ใดๆ
หรือถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ติดหรู ก็จะหันไปเลือกตัวรถรุ่น Premium แทนก็ได้ โดยมันจะมาพร้อมกับชิ้นส่วนตกแต่งสีเงินตามจุดต่างๆ ทั้งที่กระจังหน้า กรอบกันกระแทกบนกันชนหน้า-หลัง และชุดล้ออัลลอยด์ขนาด 19 นิ้ว ซึ่งเมื่อมองในภาพรวมแล้ว ก็ถือว่าดูดีมากเลยทีเดียว
ด้านขุมกำลังตัวรถ จะมีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอรโบ กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 5,200 – 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 3,600 รอบ/นาที
และรุ่นเบนซินไฮบริด 2.5 ฺBoxer S:HEV ที่ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงสุด 209 นิวตันเมตร ที่ 4,000 – 4,400 รอบ/นาที กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 120 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ซึ่งเมื่อทั้งสองขุมกำลังทำงานร่วมกัน จะได้แรงม้าสุทธิที่ 197 แรงม้า PS โดยขุมกำลังทั้งสอง จะทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical AWD ดังเดิม
ส่วนกำหนดการเปิดตัวรถอย่างเป็นทางการ รวมถึงราคาสำหรับการวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น จะเกิดขึ้นในวันที่ 17 เมษายน นี้
