แม้ในอดีต Porsche จะเคยมีฐานลูกค้าแข็งแกร่งในประเทศจีน แต่ในช่วง 1-2 ปีมานี้ มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น และมันยังลากยาวมาถึงไตรมาสแรกของปี 2025 ที่ยอดขายยังคงร่วงไม่หยุดอีกด้วย

จากการเปิดเผยตัวเลขยอดขายของแบรนด์ Porsche ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 เผยให้เห็นว่า บริษัทสามารถขายรถได้ทั่วโลกได้ทั้งหมด 71,740 คัน ซึ่งหากเทียบกับยอดขายในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่ขายได้ 77,640 คันแล้ว จะพบว่ามันมีอัตราการหดตัวที่ -8%
โดยหากให้แตกตัวเลขออกแบบละเอียดๆ เราจะพบว่าลูกค้าในประเทศจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของแบรนด์ ยังคงมีความสนใจในรถยนต์ของพวกเขาน้อยลงเรื่อยๆ จนทำให้ในไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา แบรนด์สามารถขายรถในแดนมังกรได้เพียง 9,471 คัน ซึ่งต่างจากยอดขายของช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อนที่ทำได้ 16,340 คัน ถึง -42%
นอกจากนี้ตัวเลขยอดขายในยุโรปของแบรนด์เอง ก็ยังตกลง -10% จากที่เคยทำได้ 20,044 คันในไตรมาสแรกของปีที่แล้ว เหลือ 18,017 คัน ในไตรมาสแรกของปีนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งในบ้านเกิดของตนเองอย่างประเทศเยอรมัน ที่มียอดขายลดลงถึง -34% จาก จากที่เคยทำได้ 11,274 คันในไตรมาสแรกของปีที่แล้ว เหลือ 7,495 คัน ในไตรมาสแรกของปีนี้เช่นกัน
ถึงกระนั้น ยอดขายรถยนต์ Porsche ในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา(รวมแคนาดา) กลับมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นถึง +37% โดยเพิ่มจาก 15,087 คัน เป็น 20,698 คัน ในไตรมาสแรกของปี 2024 และ ปี 2025 ตามลำดับ เช่นเดียวกับยอดขายในประเทศอื่นๆนอกเหนือจากที่กล่าวมา ก็มีตัวเลขเพิ่มขึ้นจากที่เคยทำได้ในไตรมาสแรกปี 2024 ทั้งหมด 14,895 คัน เป็น 15,789 คัน ในไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งเท่ากับว่ามีอัตราการเติบโตทั้งหมด +6%
โดยสาเหตุที่ทำให้ยอดขายรถยนต์ของ Porsche ในประเทศจีนร่วงหนัก ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวเนื่องจากการที่ในปัจจุบัน ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆของจีนเริ่มหันมาทำรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมได้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์จากเยอรมันกลับดูเหมือนจะไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ลูกค้าชาวจีนหลายคนยังคงให้ความสนใจกันอยู่
เช่นเดียวกันสำหรับลูกค้าในทวีปยุโรป และเยอรมัน ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มสนใจในรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ๆจากคู่แข่งสัญชาติจีนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประกอบกับการที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ซบเซา จึงทำให้ลูกค้ายิ่งมีกำลังซื้อรถยนต์ของพวกเขาน้อยลงอีก
และผลจากยอดขายที่หดตัวลงอย่างหนัก จึงทำให้ทางค่ายต้องปิดศูนย์บริการ และปลดพนักงานในประเทศจีนหลายราย แม้กระทั่งบุคลากรในประเทศเยอรมันเอง ก็ยังถูกปลดด้วยเช่นกัน เพื่อลดค่าใช้จ่าย
ในทางกลับกัน แม้ตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา(และแคนาดา) จะดูมีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ แต่มันอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะหลังจากนี้ทางแบรนด์อาจติดปัญหาในเรื่องการนำรถเข้าไปวางจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ยากขึ้น หรือมีต้นทุนก่อนตั้งราคาขายจริงมากขึ้น จากนโยบายการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีคนล่าสุดอย่างนาย Donald Trump
ซึ่งมันจะส่งผลกระทบซ้ำเติมยอดขายของ Porsche ได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องรอดูการสรุปผลกันต่อไปเมื่อจบไตรมาสที่ 2 นี้ ในอีกราวๆ 3 เดือนข้างหน้า