Home » “ผ้าเบรก” เปลี่ยนทั้งที ต้องคิด.. ชีวิตเลือกได้
Brake-pad (4)
Bust tuning

“ผ้าเบรก” เปลี่ยนทั้งที ต้องคิด.. ชีวิตเลือกได้

ทุกครั้งที่เข้าสู่หน้าฝนหลายคน ดูจะเป็นห่วงเรื่องยางรถยนต์มากกว่าสิ่งอื่นใด ว่ามันต้องพร้อมในการขับขี่ ด้วยยางคือสิ่งเดียวที่เหนียวรถคุณไว้กับถนน และยังใช้ในการเบรกอีกด้วย แต่หลายคนก็ลืมคิดไปเช่นกันครับว่า “เบรกรถยนต์” ก็มีหน้าที่สำคัญไม่แพ้กันในการห้ามล้อ ลดความเร็วที่คุณเดินทางให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย หรือเปลี่ยนจากอุบัติเหตุเจ็บสาหัส เป็นรอดตายเย็นนี้มีเรื่องเล่า ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เนื่องด้วยเบรกไม่ใช้อุปกรณ์ติดรถยนต์ที่คุณเห็นหรือตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง ยกเว้นแต่จะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องช่าง ทำให้เราหลายคนไม่มีทาง รู้เลยว่า ผ้าเบรกรถยนต์ อาจจะใกล้หมดอายุการใช้งาน หรือบ้างอาจจะหมดอายุการใช้งานไปแล้วก็ได้

ตามปกติแล้วผ้าเบรกรถจะมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยน 20,000 -30,000 กิโลเมตร ตามข้อมูลของ   Federal Highway Administration (FHWA) ในสหรัฐอเมริกา แต่อายุการใช้งานเบรกอาจจะมากกว่านี้ หรือน้อยว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยในการขับขี่ โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้เบรกในระหว่างขับรถ หรือ เส้นทางที่ขับขี่ รวมถึงลักษณะการจราจรด้วย อาทิถ้าคุณขับในเมือง อาจจะใช้เบรกมากกว่า คนที่ขับรถตามต่างจังหวัด 

ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้ได้ว่าเบรกใกล้หมดหรือยัง ด้วยการสังเกตตัวเบรกได้โดยตรง แต่ก็พอจะมีวิธีที่เราจะรับรู้ว่าผ้าเบรกใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว

อันดับแรก คุณสามารถตรวจสอบได้จากระดับน้ำมันเบรกในที่พักน้ำมันเบรกว่า มีการลดพร่องลงไปหรือไม่ ถ้าน้ำมันเบรกลดพร่อง แต่เบรกไม่มีอาการรั่วซึม ก็เป็นสัญญาณแรกชัดว่า ผ้าเบรกของคุณใกล้จะหมดแล้ว

วิธีต่อมา ที่คุณสามารถรับรู้ได้ว่า “ผ้าเบรก” ใกล้หมด ก็ไม่พ้น ากการสังเกตสังการณ์ในระหว่างขับขี่ หากพบว่าคุรต้องกดน้ำหนักเบรกเพิ่มขึ้นเพื่อให้รถหยุดในความเร้วเท่าเดิม หรือ เบรกเท่าเดิมแล้วมีระยะเบรกมากขึ้น

หรือหากบางครั้งเบรกแล้วเกิดเสียงเสียดสีโลหะในบางจังหวะการทำงาน หรือมีเสียงต่อเนื่องทุกครั้งที่เบรกก็เป็นไปได้ว่า เบรกใกล้จะ หรืออาจจะหมดสภาพไปแล้ว

 

 “ผ้าเบรก” ของสำคัญที่ควรเลือก

ในการขับรถของแต่ละคน ล้วนมีพฤติกรรมและเส้นทางที่ใช้แตกต่างกัน สำหรับการขับรถธรรมดาทั่วไป คุณคงไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมากในการเลือกซื้อผ้าเบรก แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถเร็ว , ขับรถบุ่มบ่าม หรือต้องผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวลาดชัน ต่อเนื่อง เช่นในภาคเหนือบ้านเรา การเลือกผ้าเบรก เป้นสิ่งที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนอื่น คุณควรเข้าใจว่าผ้าเบรกคืออะไร
ผ้าเบรก คือ อุปกรณ์สร้างแรงเสียดทานทำมาจากวัสดุเนื้อแข็งผสมจากโลหะชนิดต่างๆ เดิมทีผ้าเบรกเคยใช้แร่ใยหิน ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ปัจจุบันจึงเปลี่ยนไปเป็นพวกแร่กราไฟต์คาร์บอน

ตัวผ้าเบรกเองจะทำงาน เมื่อผู้ขับขี่เหยียบแป้นเบรก และ แป้นเบรกไปสั่งงานปั้มเบรกบน เพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก ไปยังปั้มเบรกล่าง หรือ  Caliper Brake  ดันผ้าเบรกกดถูกับชุดจานเบรก หรือพื้นที่สัมผัสของเบรก เพื่อทำให้เกิดแรงต้านการหมุนของล้อมากขึ้น จนทำให้รถลดความเร็ว ชะลอตัว จนกระทั่งหยุดสนิท ในที่สุด

ดังนั้นสำหรับใครที่ชอบขับรถแล้ว การดูและผ้าเบรกถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มันเหมือนทั้งชีวิตคุณฝากไว้ที่มัน สำคัญมากพอๆ กับยางรถยนต์ แต่หลายคนกลับไม่ได้ใส่ใจมันมากมายนัก

แนวทางการเลือกผ้าเบรก

ก่อนอื่นให้ดูปัจจัยในการขับรถจองคุณ 3-4 ข้อ ดังต่อไปนี้

1.เส้นทางที่เดินทางประจำ

2.วิธีการขับรถของคุณ และคนที่ใช้รถร่วมกัน

3.คุณสมบัติรถ โดยเฉพาะกำลังเครื่องยนต์

และท้ายสุด 4.งบประมาณของคุณเอง

ถ้าคุณไม่ใช้คนที่ขับรถผิดแปลกชาวบ้านอะไร และเบรกเดิมๆ ก็เอาอยู่สำหรับคุณอยู่แล้ว ผมแนะนำว่าเปลี่ยนผ้าเบรกที่ศูนย์บริการใกล้บ้านท่านก็ได้ ไม่ต้องคิดมาก!!
แต่ถ้ารู้สึกว่าผ้าเบรกเดิมติดรถมันยังทำงานได้ไม่ดีพอ แล้วต้องการผ้าเบรกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า คุณสมควรจะต้องเริ่มทำการบ้านหาผ้าเบรกใหม่

เมื่อคุณเริ่มค้นข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ต คุณจะเริ่มเห็นคำโฆษณาต่างๆ มากมาย จากบริษัทห้างร้านที่พยายามถาโถมคุณให้ไปเลือกใช้ผ้าเบรกของเขา ส่วนใหญ่ก็ไม่หนี กัน เบรกมีประสิทธิภาพ มั่นใจ บลา บลา บลา

แต่การเลือกคบผ้าเบรก สมควรจะต้องเลือกดังต่อไปนี้

1.อุณหภูมิทนความร้อน

อุณหภูมิทนความร้อน คือ อุณหภูมิที่ผ้าเบรกจะทำงานได้สูงสุด ก่อนที่ผ้าเบรกจะเกิดอาการจับไม่อยู่หรือเรียกว่า “เบรกเฟด” เกิดขึ้น

อุณหภูมิผ้าเบรกเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจกาเมื่อผ้าเบรกเฟดหรือเกินอุณหภูมิที่ทนได้ จะเกิดอาการเบรกไม่อยู่ เบรกแล้วลื่นเหมือนไม่มีแรงเสียดทานจากการเสียดสีของผ้าเบรก

แต่อย่างที่เรารู้ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ได้ดีรอบด้าน ผ้าเบรกที่ทนความร้อนสูง มักจะมาพร้อมประสิทธิภาพในการเบรกช่วงความเร็วต่ำไม่ค่อยดีนัก รวมถึงอาจจะมีเขม่ามากกว่าปกติ มีเสียงในระหว่างการเบรก เนื่องจากส่วนผสมผ้าเบรกจะมีความแตกต่างจากชุดเบรกปกติที่เราใช้งาน  ทว่าประสิทธิภาพจะดีมาก เมื่อขับด้วยความเร็ว เบรกต่อเนื่องผ้าเบรกจะหนึบขึ้น

และกลับกันผ้าเบรกธรรมดาทั่วไป ก็จะทำงานได้ดีในช่วงความเร็วปกติ แต่ถ้าใช้ความเร็ว เบรกแรงๆ อย่างต่อเนื่อง หรือ เบรกบ่อยๆ ผ้าเบรกจะมีอาการร้อน และอาจจะเกิดอาการเบรกเฟดได้

 

2.ค่าสัมประสิทธิเสียดทาน

บางผู้ผลิต อาจจะเรียกค่านี้ว่า ค่า Mu  เป็นการแทนค่าการตอบสนองเมือผ้าเบรกทำงาน ว่าจะมีความรู้สึกในการเหนี่ยวรั้งหน่วง มากหรือน้อยแค่ไหน ยิ่งค่านี้มาก เวลาคุณกดเบรกลงไปก็จะยิ่งรู้สึกหน่วงมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ผลิตมักจะไม่บอกว่า ค่าเสียดทานดังกล่าวให้ลูกค้ารู้ แต่ชูเป็นจุดขายแทนว่าเบรกดีกว่าเดิม

3.ลักษณะผ้าเบรก

พูดว่าผ้าเบรก หลายคนอาจจะคิดว่ามันก็น่าจะเหมือนๆ แต่เคยสังเกตใช่ไหมครับว่า เบรกแต่ละยี่ห้อ ก็มีลักษณะต่างกัน และรวมถึงคุณสมบัติการทนความร้อนของผ้าเบรกด้วย

เนื้อผ้าเบรกในปัจจุบันมีมากมายหลายแบบมากนับไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่จะเหมือนกันคือมีส่วนผสมของสายใยเหล็กในเนื้อผ้า เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพในการเบรก มากหรือน้อยแต่แตกต่างกัน ตามแต่ละรุ่น แต่ยิ่งเนื้อผ้าเบรกดี (เช่น ผ้าเบรกแบบเซรามิก) ก็จะยิ่งมีราคาแพง บางแบรนด์ชุดหนึ่ง (2 ล้อ) มีราคาเฉียดหมื่นเลยทีเดียว แต่เรื่องประสิทธิภาพเกินบรรยายวางใจได้หายห่วง

 

การเลือก “ผ้าเบรก” เป็นเรื่องที่สำคัญมากถึงมากที่สุดในการปรับให้รถคุณเหมาะกับวิธีที่คุณขับขี่ สร้างเสริมความปลอดภัยในการเดินทาง ถ้าวันนี้คุณใกล้ถึงเวลาเปลี่ยน ก็น่าจะได้เวลาที่คุณต้องทำการบ้าน เรื่อง “ผ้าเบรก” แล้วเลือกมันให้ตรงกับลักษณะการขับขี่ของคุณ

ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์ ขอบคุณทุกกำลังใจสำหรับพวกเรา   ridebuster.com 



แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.