Home » 3 วิธีขับรถตอนฝนตกหนักให้ปลอดภัย รู้ไว้แล้วจะเสี่ยงน้อยลง
สกู๊ปเด็ด

3 วิธีขับรถตอนฝนตกหนักให้ปลอดภัย รู้ไว้แล้วจะเสี่ยงน้อยลง

สภาพอากาศช่วงนี้ทั่วทุกภาคของไทยมีฝนตกหนัก นั่นส่งผลโดยตรงต่อการขับรถสัญจรไปมา วันนี้เราถึงมี 3 วิธีขับรถตอนฝนตกหนักให้ปลอดภัยมาฝากผู้อ่าน

ช่วงนี้มองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็พบเห็นเมฆครึ้มปกคลุมอยู่เต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาคไหนๆ ของชาติไทยก็ประสบพบเจอเหมือนกันทั้งสิ้น แน่นอนสิ่งที่ตามมาหนีไม่พ้นหยาดน้ำฝนที่หลั่งรินหลายระดับ บ้างก็ตกปรอยๆ แต่ที่เจอบ่อยก็คือตกหนักไม่ลืมหูลืมตา ทำเอาคนใช้รถใช้ถนนต้องคอยระมัดระวังกันมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็มิวายเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้งอยู่ดี

ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยต่อบรรดาผู้อ่าน อีกทั้งยังหวังให้ชีวิตและทรัพย์สินของพวกท่านและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นปลอดภัย วันนี้เราจึงจะมาย้ำเตือนถึง 3 วิธีในการขับรถตอนฝนตกหนักให้ปลอดภัย ซึ่งบางคนอาจไม่เคยทราบว่าก่อนว่าข้อสังเกตุต่อไปนี้จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ชะงัก

1.ขับรถตอนฝนตกหนัก จำขึ้นใจไว้ว่าเลี่ยงแอ่งน้ำเสมอ!!

แอ่งน้ำเปรียบได้กับกับดับอันตรายที่รอคอยให้คนขับรถที่ประมาท ก้าวย่างสู่ต้นเหตุของการเกิดความสูญเสียได้มากที่สุด โดยเฉพาะตอฝนตกหนักจนเราแทบจะมองรถคันข้างหน้าไม่เห็น สภาพถนนที่ขาดการบำรุงรักษา มีการทรุดของไหล่ถนน หรือออกแบบได้ไม่ดีตั้งแต่ต้น เหล่านี้เป็นจุดกำเนิดของแอ่งน้ำเพชรเพชรฆาตทั้งสิ้น

อันตรายของแอ่งน้ำมีอยู่ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ เป็นต้นเหตุของการเกิด hydroplane หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า รถเหินน้ำ เพราะเวลาที่เราขับรถเร็วประมาณนึง แล้วรถเกิดแล่นลงไปในแอ่งน้ำ มันก็มีโอกาสเกิดอาการที่มาว่าทุกครั้ง ความรุนแรงจะแปรผันตามความเร็วที่รถขับมา กรณีที่ผู้ขับขี่มีประสบการณ์ไม่มากก็อาจเกิดความตกใจ พยายามหักพวงมาลัยเพื่อประคองรถให้วิ่งตรงต่อในเลน ทว่าผลคือรถจะเกิดเสียอาการจนหมุนคว้าง ไม่ก็แฉลบลงข้างทางไปแบบงงๆ เหล่านี้เราพบเห็นได้บ่อยยามที่มีฝนตก

ต่อมาเป็นเรื่องแอ่งน้ำที่เกิดจากผิวถนนชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อ ข้อนี้นับว่าเป็นภัยอันตรายที่ส่งผลร้ายแรงที่สุด เพราะนอกจากจะต้องเจอกับอาการรถเหินน้ำแล้ว พื้นถนนที่พุพังใต้น้ำยังส่งผลถึงล้อและแม็กโดยตรง เรียกว่าถ้าขับมาเร็วๆ แล้วรถต้องลงหลุมแอ่งน้ำประเภทนี้ นอกจากรถจะเสียอาการแล้วก็ยังมีโอกาสที่ล้อกับยางรถยนต์จะเสียหายตามมาด้วย

 

ดังนั้น วิธีการปลอดภัยที่สุดเมื่อหลีกเลี่ยงการแล่นผ่านแอ่งน้ำไม่ได้ก็คือ ขับรถด้วยความเร็วพอประมาณราวๆ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อที่จะได้หักหลบพร้อมเปิดไฟเลี้ยวเตือนให้รถในช่องจราจรอื่นชะลอรถได้ทัน กรณีเลี่ยงการแล่นผ่านแอ่งน้ำไม่ได้ ก็พยายามชะลอความเร็วลงด้วยการแตะเบรกแบบนุ่มนวล แล้วจับพวงมาลัยไว้ให้มั่นจนกว่ารถจะแล่นแผ่นบริเวณน้ำขังนั้นไป

ส่วนวิธีอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้ กรณีที่ถนนมี 3 ช่องจราจรขึ้นไป คือให้พยายามขับรถอยู่ในช่องกลางเข้าไว้ เพราะเลนซ้ายและขวาสุดบนถนนบางสายอาจมีการทำสโลปเอียง ไว้เพื่อช่วยในเรื่องการระบายน้ำที่ท่วมขังบนพื้นถนน ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่จะมีแอ่งน้ำบนเลนซ้ายและขวาสุดก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

2.อย่าขับตามหลังรถบรรทุก

ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าการขับรถยามฝนตกหนักต้องเว้นระยะห่างมากเป็นพิเศษ เผื่อไว้กรณีที่ต้องทำการเบรกฉุกเฉิน รวมถึงเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นด้านหน้าว่ามีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกัน การหลีกเลี่ยงไม่ขับตามรถบรรทุกก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุได้

เนื่องด้วยขนาดเล็กน้ำหนักที่มากของรถบรรทุก ไม่ว่าจะเป็น 10 ล้อ หรือรถพ่วง รถเหล่านี้จะด้อยประสิทธิภาพในการควบคุมรถขณะฝนตกหนักเป็นพิเศษ โอกาสที่จะรถหมุนคว้างหรือเสียหลักปาดไปมาก็มีสูงตาม ดังนั้น การขับทิ้งระยะพร้อมกับเลี่ยงการขับตามท้ายรถบรรทุกทุกชนิด จึงเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุยามฝนตกหนักได้เช่นกัน

3.ตรวจเช็คลมยางให้อยู่ในระดับมาตรฐานเสมอ

หลายคนอาจทราบถึงวิธีการสองข้อแรกที่เรานำเสนอไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็มีบางคนหลงลืมการตรวจเช็คลมยางให้อยู่ในระดับปกติเสมอ เจ้าของรถบางคันใช้วิธีเติมลมยางให้แข็งกว่าปกติ 2-5 PSI เพราะมีความเชื่อว่าจะช่วยให้รถวิ่งได้ประหยัดน้ำมันและแล่นได้เร็วขึ้น ทว่าผลที่ตามมาอาจส่งผลเสียได้หลายอย่าง อาทิ ช่วงล่างเสื่อมสภาพไวกว่าปกติ การบังคับควบคุมทำได้ด้อยลง รวมถึงปัจจัยเรื่องการขับรถขณะเจอฝนตก…

ตามปกติแล้วยางรถยนต์ที่มีลมอยู่ในเกณฑ์กำหนดไว้ตามมาตรฐานโรงงาน นั่นหมายถึงประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนทุกสภาพอากาศและสภาพทางมีสูงสุด แต่กรณีที่ขับรถช่วงฝนตกหนักด้วยลมยางแข็งกว่าปกติ จนหน้ายางสัมผัสกับถนนได้ไม่เต็มพื้นที่ บางครั้งทำให้ร่องรีดน้ำที่ถูกออกแบบมาไม่สามารถรีดน้ำออกได้ทันตามที่วิศวกรคำนวนไว้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องเช็คลมยางให้อยู่ในระดับปกติตามค่ามาตรฐานอยู่เสมอ

หวังว่าทริกเล็กๆ น้อยๆ สามข้อนี้จะช่วยให้ผู้อ่านขับขี่รถยามฝนตกหนักได้ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม เหนือสิ่งอื่นใดคือสติและความไม่ประมาท หากมีสองข้อนี้อยู่ในใจผู้ขับขี่อยู่เสมอ เชื่อเถอะว่าการเดินทางไปยังทุกจุดหมายยังไงก็ปลอดภัยแคล้วคลาดอุบัติเหตุ

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.