นับถอยหลังการมาถึงของขุมพลัง e-Power ที่ปีนี้จะติดตั้งอยู่บน Nissan Kick โฉมไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งก่อนจะได้ใช้กัน เราจะพาไปดูข้อดี และอาการที่คุณต้องพบเจอ
ภายในปี 2020 ชาวไทยจะได้สัมผัสกับ Nissan Kick e-Power ขุมพลังที่นิสสันมั่นใจว่าจะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้า จนต้องเปิดใจเข้ามาซื้อหารถไปใช้งานตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง โดยหลายคนที่ไม่ได้ศึกษามาก่อนอาจมีความเข้าใจไม่ครบถ้วน วันนี้ทางเราจึงขันอาสานำพาผู้อ่านไปรู้จักกับข้อดี และอาการต่างๆ ที่ควรทราบก่อนจะได้ใช้งานจริง
1.e-Power แรงกว่าไฮบริดจริงหรือ?
คำถามแรกที่ผู้อ่านคงคิดเหมือนกับเราคงหนีไม่พ้น ว่าขุมพลัง e-Power แรงกว่าเครื่องยนต์ไฮบริดที่มีอยู่บนรถเจ้าตลาดคันอื่นขนาดไหน? โดยจากการทดสอบขับขี่ Note e-Power ของทีมงาน Ridebuster เมื่อช่วงสองปีก่อนที่ญี่ปุ่น ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร รหัส HR12DE ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้า (PS) ที่ 5,400 รอบต่อนาที แรงบิด 103 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 4,400 รอบต่อนาที ทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องปั่นไฟป้อนสู่มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC synchronous motor รหัส EM57
ซึ่งมอเตอร์ตัวนั้นปั่นกำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 3,008 – 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 254 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,008 รอบ/นาที โดยดึงกระแสไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 1.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ด้านอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้จริงสวยงามราว 7.xx-8.xx วินาที
หากเทียบกับรถยนต์ไฮบริดในระดับเดียวกัน ยกตัวอย่างเป็น Toyota Aqua รถแฮทช์แบ็คไซส์เดียวกับ Note ที่ให้ขุมพลัง Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร รหัส 1NZ-FXE กำลังสูงสุด 74 แรงม้า (PS) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 111 นิวตันเมตร ที่ 3,600 – 4,400 รอบ/นาที พร้อมติดตั้งแบตเตอรี่แบบ NiMH ขนาด 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 61 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 169 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ราว 10.x วินาที
2.ความประหยัดเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฮบริดยี่ห้ออื่น
จริงๆ แล้วขุมพลัง e-Power ถูกนับอยู่ในกลุ่มเครื่องยนต์ไฮบริดเช่นเดียวกัน แต่มีส่วนประกอบกับหลักการทำงานต่างออกไป เพราะเครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตฯ และส่งพลังไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อปั่นสร้างกำลังให้รถเคลื่อนที่ ตรงข้ามกับขุมพลังไฮบริดทั่วไปที่เครื่องสันดาปจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในบางจังหวะโดยเฉพาะตอนเร่งแซงที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก และยังคงทำผ่านชุดเกียร์แบบ E-CVT
ลองมาเดากันว่าขุมพลัง e-Power ให้ค่าความประหยัดน้ำมันที่สูงหรือต่ำหากเทียบกับขุมพลังไฮบริดปกติ ข้อมูลความจริงที่ค้นหาจากทางญี่ปุ่นพบว่า ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ทดสอบภายใต้มาตรฐาน JC08 ระบุไว้ 34 กม./ลิตร แต่การทดสอบใช้งานจริงมีพบแย่สุดอยู่ที่ราว 23 กม./ลิตร
ยกตัวอย่างจับ Toyota Aqua เครื่องไฮบริด 1.5 ลิตร มาเปรียบเทียบกับอีกครั้ง การทดสอบแบบ JC08 ทำได้ 37 กม./ลิตร หรือคิดตามการใช้งานขับขี่จริงจะอยู่ที่ 21.7 กม./ลิตร เห็นได้ว่าตัวเลขความประหยัดไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่
3.รถที่ใช้ขุมพลัง e-Power วิ่งแบบเงียบ เครื่องไม่ติดได้นานขนาดไหน?
ด้วยความจุแบตเตอรี่เพียง 1.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ใครที่คาดหวังว่ารถ e-Power จะวิ่งเงียบเชียบได้เหมือนกับรถ Plug-in hybrid อันนี้ลืมไปได้เลย เพราะเจ้าเครื่องยนต์ที่เป็นเครื่องปั่นไฟมันจะทำงาน 70-80% ตลอดช่วงเวลาที่คุณขับขี่รถ ตั้งแต่เริ่มสตาร์ทเครื่องก็ติดขึ้นมาแล้ว เพียงกดคันเร่งเครื่องก็ติด ยิ่งเร่งหนักๆ เครื่องก็ยิ่งดังครวญครางเพื่อปั่นไฟให้พอกับความต้องการของมอเตอร์ไฟฟ้า พูดง่ายๆ ว่าเครื่องจะดับก็ตอนที่ขับความเร็วคงที่แบบนิ่งอยู่ชั่วครู่ ถอนคันเร่ง หรือเบรก และจอดติดไฟแดงเฉยๆ ในกรณีที่ยังมีแบตฯ เหลืออยู่พอสมควร
4.ความทนทาน ความจุกจิก เมื่อเทียบกับขุมพลังไฮบริด
ข้อนี้เป็นอีกสิ่งที่คนทั่วไปอยากทราบ ว่าหากซื้อรถขุมพลัง e-Power มาใช้งาน แล้วจะต้องรับมือกับความจุกจิกในระดับไหน ซึ่งจากที่เราทำการศึกษามาก็พบว่า เครื่องยนต์นั้นทำเพียงแค่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนใส้กรองน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนไส้กรองอากาศเครื่องยนต์ ในส่วนของชุดระบบส่งกำลังนั้นไม่ต้องกังวล เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนแบบ single speed ที่แปรผันแรงม้าตามรอบการหมุนของมอเตอร์ จึงทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องชุดเกียร์แต่อย่างใด
มาถึงประเด็นแบตเตอรี่นี่เรียกว่าทนทานพอกับรถไฮบริดปกติ เพราะไม่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างพวกระบบระบายความร้อนแบตฯ ด้วยของเหลว liquid cooling กับต้องมีตัวอุ่นแบตฯ เพื่อการชาร์จในขณะอุณหภูมิต่ำ เหมือนกับรถ Plug-in Hybrid หรือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% กรณีที่แบตฯ เสื่อมนอกระยะประกันค่าใช้จ่ายก็จัดว่าใกล้เคียงรถไฮบริดยี่ห้ออื่น
เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงลักษณะการทำงานของขุมพลัง e-Power ได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น เพราะกว่าจะที่ Nissan Kick โฉมไมเนอร์เชนจ์พร้อมหัวใจดังกล่าวจะเข้ามา วันนั้นผู้อ่านคงรู้และสบายใจว่าความแปลกใจที่จะได้พบเจอ แท้จริงแล้วมีข้อดี และข้อด้อยอย่างไร
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com