จากที่ค่ายรถ 9 ยี่ห้อ ขานรับนโยบายรัฐในการปรับไปสู่มาตรฐานไอเสียยูโร 5 วันนี้จึงจะพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความเข้าใจ ว่ามันแตกต่างอย่างไรกับมาตรฐานในปัจจุบัน
ตั้งแต่มีกระแสฝุ่น PM2.5 ออกมา หลายคนต่างเริ่มตระหนักถึงผลของการใช้เครื่องยนต์ดีเซลในรถยนต์ที่นิยมของคนไทยจำนวนมาก และไม่มีทางใดที่จะสามารถปรับไปใช้เครื่องยนต์อื่นๆได้
ความนิยมของเครื่องยนต์ดีเซล มาถึงทางออกสำคัญ หลัง 9 ค่ายรถยนต์ยินดีจะทำตามคำแนะนำภาครัฐปรับเครื่องยนต์ที่ใช้ในปัจจุบัน หรือนำเข้ามาในอนาคตเป็นยูโร 5 และวันนี้เราจะมาพูดถึงการใช้รถยนต์เครื่องดีเซลสมัยใหม่ว่า มันแตกต่างจากเดิมเพียงใดกัน
เครื่องยนต์ดีเซลยูโร 5 ฟังดูหลายคนอาจจะตื่นเต้นต่อนวัตกรรมใหม่ แต่ที่จริงแล้วมันไม่แตกต่างจากที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันมากนัก ตัวเครื่องยนต์ดีเซลเองไม่ได้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากมาย มันยังคงใช้ระบบคอมมอนเรลดีเซล และ ระบบเทอร์โบชาร์จเหมือนที่ผ่านมา
ส่วนที่เพิ่มเข้ามาในเครื่องยนต์ดีเซลตั้งแต่ครั้นยูโร 4 คือการติดตั้งระบบหมุนวนไอเสีย หรือที่เรียกว่า EGR (Exhaust Gas Recirculation) เพื่อหมุนไอเสียกลับไปเผาไหม้ซ้ำอีกครั้ง ทำให้เขม่าน้อยลงกว่าเดิม และในดีเซลยูโร 5 ก็เพิ่มระบบบำบัดไอเสียเข้ามาอีก ด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Diesel Particulate Filter หรือ DPF ผมเชื่อว่า หลายคนน่าจะได้ยินชื่อเสียงเจ้านี่มาบ้าง
DPF เป็นอุปกรณ์กรองไอเสีย ซึ่งจะติดตั้งไว้หลังเทอร์โบ เพื่อดักเขม่าฝุ่นละอองที่ออกจากเครื่องยนต์ดีเซล ไม่ให้ปล่อยออกไปสู่ภายนอก
ตัว DPF มีหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละออง ซึ่งเมื่อนานวันไปจะมีจำนวนฝุ่นมากตามลดับ ทำให้ในระหว่างการขับขี่บางครั้งจะมีกระบวนการพิเศษที่เรียกว่า Burn off หรือ บ้านเรา อาจจะเรียกว่า Regenerative ก็ไม่ผิดนัก
กระบวนการ Burn Off จะทำโดยอัตโนมัติ หรือ ตามความต้องการของผู้ใช้ ก็แล้วแต่ว่าผู้ลผิตมีการติดตั้งสวิทช์มาให้หรือไม่ ในรถยนต์รุ่นนั้น
โดยการ Burn off จะอาศัยความร้อนจากห้องเผาไหม้ ในการเผาเขม่าที่ติดอยู่ใน DPF ออกมาสู่โลกภายนอก โดยเจ้าเขม่าต่างเหล่านี้จะไม่ใช่ฝุ่นละอองที่สร้างผลเสียอีกต่อไป กระบวนการนี้มักจะเกิดขึ้น เมื่อคุณขับรถด้วยความเร็วคงที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ตามข้อมูลจากผู้ผลิตบางรายเช่น Ford ชี้ว่ารถยนต์ Ford Ranger ในต่างประเทศ จะมีการเบิร์น DPF เมื่อขับด้วยความเร็วตั้งแต่ 30-40 ก.ม./ช.ม. ขึ้นไป
ระบบจะทำการเริ่มเผาเขม่า เมื่อพบว่า มีฝุ่นติดใน DPF จำนวนมากจากการตรวจจับ เมื่อกระบวนการเผา DPF เกิดขึ้น เครื่องยนต์จะทำงานหนักกว่าปกติเล็กน้อย โดยจะมีการกินน้ำมันมากกว่าปกตินิดหน่อย เพื่อให้ได้ความร้อนเพียงพอต่อการเผาเขม่า กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 5-25 นาที่ แล้วแต่ว่ามีเขม่าในเจ้าตัวจับฝุ่นนี้มากขนาดไหน
ตามปกติในขั้นตอนนี้จะมีสัญลักษณ์ขึ้นโชว์ที่หน้าปัด เพื่อแสดงว่าระบบได้เริ่มทำงานในการเป่าฝุ่นละออง และจะดับไปเมื่อทำงานจบสิ้นลง และตามปกติแล้วศูนย์บริการจะมีการถอด DPF มาทำความสะอาดอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนดด้วย
ตลอดจนวในแง่การบำรุงรักษาในระยะยาวระบบ DPF จะต้องมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ เมื่อถึงระยะเวลาตามที่กำหนด จากทางผู้ผลิต ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1-2 หมื่น บาทจากการสำรวจข้อมูลจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี นอกจากการมีกระบวนการของระบบ DPF เพิ่มเติมแล้ว ผู้ใช้ยังสมควรเข้าใจว่าเครื่องยนต์ดีเซล ยูโร 5 ต้องใช้น้ำมันที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ด้วย โดยน้ำมันของดีเซลยูโร 5 ที่มีมาตรฐานสุงกว่ากติ ซึ่งปัจจุบัน ปั้มมีขายแล้ว และเชื่อว่าถ้าเครื่องยนต์ดีเซลยูโร 5 เข้ามาขายในอนาคต จะขยายเป็นทุกปั้มในที่สุด
การมาของ diesel Euro 5 นับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีต่อทางด้านสิ่งแวดล้อมไทย และวันนี้เราควรจะตระหนักต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะถ้าเราช่วยกัน ก็จะมีสุขภาพที่ดีร่วมกัน
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com