ท่ามกลาง กระแสรถยนต์ไฟฟ้ามาแรงในยุคนี้ หลายคนอาจมองว่าตัวเองต้องการรถใช้งานสักคันเซฟค่าเดินทางในประจำวัน จึงอยากจะได้มาใช้งานติดบ้านไว้บ้าง และเป็นเรื่องธรรมดาของคนไทยที่จะดิ้นหาทางออก ประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิต
หากเมื่อมองไปในบรรดารถยนต์ไฟฟ้า ที่จำหน่ายมากมายในเวลานี้ ภาพที่คุณเห็นในบางมุม กลับรู้สึกย้อนแย้ง จากความจริงว่า รถยนต์ไฟฟ้าออกแบบมาเพื่อ ลดภาวะโลกร้อน ลดการปล่อยไอเสียจากท้องถนน ทว่าด้วยพลังขับของรถหลายรุ่นที่มากจนเกินความจำเป็น หลายคันพลังแรงจนถูกใจคอความเร็ว นั่นกลับดูย้อนแย้ง วัตถุประสงค์ ที่รถเหล่านี้เกิดมาในตอนแรก
EV บ้าพลัง … ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการรถยนต์ไฟฟ้า เพราะดั้งเดิม แม้แต่ค่ายอดีตเบอร์ 1 หลายปีซ้อน ก็ยังเอาเรื่องนี้มีทำเป็นรุ่นเน้นสมรรถนะในการขับขี่ หรือ ที่เรียกว่า Performance เน้นการให้พลังขับตรงใจคอความเร็ว อัตราเร่งแรง
ด้วยข้อเท็จจริงว่า ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถตอบสนองการขับขี่ได้ทันอกทันใจ กดปุ๊ปมาปั๊ป เหมือนปิดเปิดไฟ เหยียบทีพลันหลังติดเบาะ ให้อารมณ์ความรู้สึกในแบบ ที่รถน้ำมันในราคาระดับเดียวกัน อาจจะยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ความดีความชอบในเรื่องนี้ จึงกลายมาเป็นจุดชายที่ดี สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มันเป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ทันที ที่ลองขับ สัมผัสตัวรถ และตัดสินใจได้ไม่ยาก ต่อการซื้อขาย ว่าเขาจะเลือกรถสันดาป ราคาเท่ากันที่มีกำลังน้อยกว่า ทำไม ในเมื่อสามารถซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ในราคาเท่ากัน มีกำลังมากกว่าได้อย่างสบายๆ โดยไม่จำเป็นต้องยี่หระว่า รถคันนั้น ประหยัดหรือไม่ ระยะทางเหลือเฟือหรือไม่ ?
เนื่องจาก คนซื้อรถบางคน ไม่ได้ใช้รถเดินทางไกลเป็นประจำ บ้านมีรถหลายคัน เมื่อบวกกับการจ่ายเงินในราคาซื้อรถบ้าน แต่ได้พลังรถสปอร์ต ตัวเลข 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาไม่กี่วินาที เคลมกันในระดับซุปเปอร์คาร์ในอดีต ยังมีมองฆ้อน ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
กำเนิด EV บ้าพลัง
อย่างที่เรา กล่าว EV บ้าพลัง ไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่จริงก็มาจากแบรนด์หลักรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ที่ออกรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง มาขิงเรื่องการขับขี่รถสันดาป ก่อนที่ค่ายจีนอย่าง BYD และ อีกหลายแบรนด์ จะเดินตามรอยบ้าง
ในแง่ผู้ผลิต การมองแค่รถยนต์ไฟฟ้า ประหยัด รักษ์โลก แบบที่นิสสัน เคยทำ พูดโครมๆ ว่า Zero Emission ลูกค้าที่สนใจอาจพอเข้าใจได้ แต่ไม่เก็ทและไม่เห็นภาพ
กลับกัน การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า มีข้อดีในเรื่องของสมรรถนะในการขับขี่ที่เป็นข้อโดดเด่น เช่น การตอบสนองแรงบิดเฉียบพลัน ทำให้ออกตัวได้เร็ว ทันใจ และด้วยการพัมนาของระบบมอเตอร์ไฟฟ้า เพียงแค่เพิ่มขนาดชุดขับให้ใหญ่ ก็สามารถผลิตกำลังขับได้มากขึ้น ยิ่งถ้าติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป 2 ตัว ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเร้าใจมากขึ้น
ในระดับที่รถสันดาป ในราคาเดียวกัน ทำไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก เนื่องจากต้องพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะสูง ภายใต้ กฏระเบียบทางด้านไอเสียที่มีความเข้มข้น ตามลำดับ ในหลายประเทศ ทั่วโลก
แต่ในอีกด้าน ที่รถยนต์ไฟฟ้า มีพลังขับ ระดับน้องๆ รถสปอร์ต แม้แต่รถยนต์ไฟฟ้าบ้านๆ บางคัน ยังมีตัวเลข 200 แรงม้าให้เห็น ในราคาที่คุณอาจเอื้อมถึงได้ง่ายไม่ข้ามล้านบาท
ก็มาจากข้อเท็จจริง ทางด้านน้ำหนักเปล่า ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่มากกว่า รถยนต์สันดาปทั่วไป เป็นข้อเสียเปรียบหลัก
ยกตัวอย่างเช่น BYD Seal รุ่นเริ่มต้น มีน้ำหนักตัวเปล่า 1,922 กก. แต่รุ่นกลาง ที่มีแบตเตอร์รี่ขนาด 82 Kwh กลับมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีกกว่า 100 กก.
ไม่เพียงเท่านี้ ยามขับขี่ใช้งาน แม้ว่าการตอบสนองของรถยนต์ไฟฟ้าจะเร็ว หากการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีข้อจำกัดในการทำงานรอบสูง ซึ่งจะเกิด Back-EMF หรือ แรงต้านไฟฟ้า ในระหว่างการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า
ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ต้องเพิ่มพลังขับ ให้พร้อมและเพียงพอ ต่อการตอบสนองในทุกย่านการใช้งาน
ย้อนแย้ง .. ประหยัด รักษ์โลก
แม้ว่าปัจจุบัน EV บ้าพลังส่วนใหญ่ จะมีราคาอยู่ในช่วงล้านกว่าบาทกลางๆจากค่ายจีน ไปจนถึงราคาหลายล้านบาท จากผู้ผลิตชั้นนำ จากทางฝั่งยุโรป
แต่เมื่อย้อนกลับไป ถึงจุดเริ่มต้น การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ออกมาจำหน่าย จากผู้ผลิตที่ต้องการ ต่อสู้กับภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง และมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าประเภท Battery Electric Vehicle หรือ BEV เป็นทางออก เนื่องจากลดการปล่อยไอเสียปลายท่อ และ การผลิตไฟฟ้า จากโรงงานไฟฟ้า ก็ค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ กว่าการสันดาปน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเครื่องยนต์จำนวนมากบนท้องถนน ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า ยังสามารถก้าวข้ามผ่านไปใช้พลังงานสะอาดได้ง่าย
เพียงใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากแสงอาทิตย์ ,พลังงานลม ก็กลายเป็นพาหนะ ที่สะอาด ไม่ต่างจากการปั่นจักรยานในการเดินทางเลยด้วยซ้ำ
หากเมื่อมองย้อนกลับ ถึงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าพลังม้าสูง มันก็ดูจะย้อนแย้ง กับจุดเริ่มต้นของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ถือกำเนิด และผู้คนให้คนสนใจ อยากได้ มาใช้ เพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า
แม้ข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ไฟฟ้าบ้าพลัง ก็ประหยัดค่าพลังงานกว่า รถสันดาป ที่มีพลังขับเท่ากัน ถึง 4-5 เท่าตัว เมื่อลองเปรียบเทียบกัน เช่น Ford Mustang V8 กับ BYD Seal ในกำลังขับ ราวๆ 500 ม้า เท่ากัน มัสแตง กินน้ำมันดุดัน จนแทบจะไม่มีทางเป็นรถขับทุกวันสำหรับทุกคน เหมือนแมวน้ำก็ได้ เว้นแต่คุณจะไม่มีปัญหาเรื่องรายจ่ายจริงๆ
สู่ยุครถสปอร์ตไฟฟ้า
แม้ว่า ข้อเท็จจริง EV พลังแรง จะเป็นที่พูดถึงกันทั่วโลก แต่มันก็ถูกตั้งคำถามว่า ในขณะที่หลายคนได้ความสนุกสะใจในการขับขี่ แล้วโลกจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้จริงไหม ?
พลังขับที่มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็หมายถึง ผู้ผลิต ต้องติดตั้งแบตเตอร์รี่ที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้รถยังคงมีระยะทางที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ไม่เล็กจนขับได้นิดเดียวเดี๋ยวต้องแวะชาร์จ จนลูกค้าอาจบ่นอุบตามมาภายหลัง
ในทางกลับกัน แบตเตอร์รี่ขนาดใหญ่ ก็ถูกตั้งคำถาม ถึงกระบวนการผลิต ที่หลายคนคงพอจะทราบกันว่ามันมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ไม่น้อย และเช่นเดียวกัน การกำจัดแบตเตอร์รี่ในอนาคตเอง ก็ยังต้องมาคุยกันต่ออีกเช่นกัน ว่ามันจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากแค่ไหน
แต่ดูเหมือนผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ ก็ดูจะยังไม่ตระหนักข้อนี้ รถ EV พลังแรงจึงยังคงมีออกมาขายต่อเนื่อง ตราบใดที่คนยังสนใจกับ ตัวเลขอัตราเร่ง มากกว่า การตั้งคำถามเรื่องประสิทธิภาพมอเตอร์ว่ามันจะประหยัดเท่าไรในการใช้งานจริง
นั่นผิดกับคนมองหารถสันดาป ในวันนี้ ที่ตั้งคำถามว่า รถคันนั้น ประหยัดน้ำมันเท่าไร ไปพอๆกับ การไม่ได้สนใจพลังขับมากมายอะไร แค่ขอให้มีพอต่อการใช้งาน ขึ้นเขาไม่อืด เดินทางได้ เร่งแซงมั่นใจ
ตัวเลข 0-100 กม./ชม.ไม่เคย ถูกยกมาเป็นประเด็นในการขาย รถยนต์สันดาป ทั่วๆไปอย่างจริงจังเลย ยกเว้นในกลุ่มรถสปอร์ต และ ซุปเปอร์คาร์ ที่ต้องการโชว์สมรรถนะในการขับขี่ ให้ลูกค้าได้เห็น
อย่างไรก็ดี ,ก้าวต่อไปของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะรถยนต์ไฟฟ้ากำลัง ล่วงเข้าสู่กลุ่มรถสปอร์ต อย่างการมาของ MG Cyberster ที่ทำออกตอบตลาด คนอยากได้รถสปอร์ตไฟฟ้า ขับสนุกสุดมันส์ ไปจนถึง แบรนด์น้องใหม่ อย่าง Neta ที่มีแนวโน้ม แนะนำ Neta GT เข้าสู่ตลาด เช่นกัน
รถสปอร์ตขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการ EV เสียทีเดียว เพราะก็เคยมี Tesla Roadster ออกมาวางจำหน่ายแล้ว แต่มันก็ดูน่าจะปรับทิศทางตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม
มันน่าจะทำให้ วัฒนธรรม EV บ้าพลัง ในคราบรถบ้าน ทอนลงหรือไม่ เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก
ด้วยความจริงว่ารถยนต์ไฟฟ้า ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่เพียงแค่ระยะทางเท่านั้น แต่เมื่อขับด้วยความเร็วสูง ก็ยิ่งเร่ง การเสื่อมประสิทธิภาพแบตเตอร์รี่ และมอเตอร์มากขึ้นไปด้วย
รถยนต์ไฟฟ้า สำหรับใช้งานทั่วไป ในความเห็นของเรา ไม่ควรมีแรงม้ามากเกินไป ผู้ผลิต ควรเน้นที่ประสิทธิภาพการทำงานของมอเตอร์ เพื่อช่วยประหยัดการใช้พลังงานในการขับขี่ เมื่อมันประหยัดขึ้น แบตเตอร์รี่ก็ไม่จำเป็นต้องมีลูกใหญ่มาก เหมือนรถสันดาปสมัยนี้ ที่ลดขนาดถังน้ำมันลงได้ เพราะเครื่องยนต์ ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
สำคัญที่สุด อย่าลืม จุดเริ่มต้นของ รถยนต์ไฟฟ้า มันถูกมองว่า เป็นคลื่นลูกใหม่ วิวัฒนาการ การเดินทางตอบโจทย์ ประหยัด สะอาด … และ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม .. ที่กำลังถดถอยอย่างรุนแรง ไม่ใช่การเกิดมาเพื่อขิงกันในเรื่องอัตราเร่งแต่อย่างใดเหมือนในปัจจุบันนี้