เมื่อคุณมีเงินถึงระดับหนึ่งเชื่อว่า คุณกำลังจะมองหารถยนต์คันใหม่ที่ไม่เพียงตอบการใช้งานได้เท่านั้น แต่ยังต้องแสดงสถานะทางสังคมด้วย ไม่แปลกที่ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อย ต่างคิดเอาไว้เมื่อประสบความสำเร็จในชีวิต
การเลือกรถคันใหม่ที่มีความหรูหราขึ้นหมายถึงคุณหลุดจากวังวนการซื้อรถราคาล้านบาทมาสู่ระดับ 2 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่บริษัทรถยนต์ทั้งหลายเรียกว่า Entry Luxury หรือกลุ่มรถยนต์ที่เริ่มมีความภูมิฐาน อันประกอบด้วยการขับขี่ที่เหนือชั้น การตบแต่งที่ดูดี และความสะดวกสบายภายใน แต่ก่อนที่คุณจะเดินไปดูรถในงานมอเตอร์โชว์ท้ายปี คุณอาจคิดไม่ตกว่า รถแบบไหนที่เราควรเลือกคบหากัน
ปัจจุบันในกลุ่มราคาล้านาปลายๆมีรถอยู่ 2-3 กลุ่มใหญ่ที่ครองตลาดกลุ่มนี้
ดั้งเดิมทีตลาดระดับไม่เกิน2 ล้านเป็นของบรรดารถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนำเสนอรถยนต์ซีดานขนาดกลางหรือที่เรียกว่า Mid Size Sedan หลายคนรู้จักทั้ง Honda Accord , Toyota Camry และ Nissan Teana ที่ขายมาตั้งแต่รุ่นพ่อจวบจนปัจจุบัน
ตลาดมิดไซด์ซีดาน เดินดีมาเรื่อย จนเมื่อปี 2012 โดยประมาณ บริษัทรถยนต์ยุโรป เริ่มขอมากินส่วนแบ่งตลาดกลุ่มนี้บ้างด้วยรถยนต์คอมแพ็คคาร์สมรรถนะสูง ที่ทำออกมาโดนใจวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่อยากได้รถใหญ่มาก แต่อยากได้รถขับดี ดูมีราคา กลุ่ม European Compact Car จึงกลับมาแจ้งเกิด ด้วยรถยนต์กลุ่มใหม่ตอบสนองความต้องการรถสำหรับขับขี่ที่แท้จริง
กลุ่มนี้ปัจจุบัน มี 4 แบรนด์ หลักๆที่ทำตลาด ได้แก่ Mercedes Benz A Class, BMW Series 1 , Volvo V40 / XC 40 และท้ายสุด Audi Q2
แต่ถ้าถามว่าจะซื้ออะไรดี เรามีข้อคิดสำคัญมาฝากกัน
1.ใช้งานลักษณะใด บางคนต้องการเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ เพื่อตอบความต้องการของตัวเองและหลายคนเปลี่ยนเพราะเริ่มต้นบทใหม่ๆ ในชีวิต เช่นการมีครอบครัว
รถราคาระดับ 2 ล้าน ทั้ง 2 กลุ่ม ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
กลุ่มรถยนต์ซีดานกลางปัจจุบันเป็นกลุ่มที่วางหมากให้เป็นรถยนต์สำหรับครอบครัวมากขึ้น มันใช้งานได้ทั้งภาพลักษณ์ที่ดูดี และรับส่ง-ลูก เมีย แถมยังนั่งสบายสุด พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่
ด้วยขนาดมิติตัวรถที่ใหญ่ นอกจากการเก็บของ คุณภาพในการโดยสารแล้ว ยังทำให้ความสามารถในการขับขี่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยเป็นผลพลอยได้ คุณได้รถที่ขับแล้วมีสมรรถนะดี เมื่อใช้ความเร็ว หรือขับเนียนๆ สบายๆก็ได้
กลับกัน รถยนต์คอมแพ็คคาร์จากแบรนด์ยุโรป จะด้อยกว่าชัดเจน ในเรื่องพื้นที่ใช้สอย แต่คุณได้ความสามารถในการขับขี่ที่ดีกว่ารถยนต์ซีดานกลางจากผู้ผลิตญี่ปุ่น ขับสนุกกว่าเครื่องเร่งเร็วกว่า บางยี่ห้อ อาทิ วอลโว่ ยังมีการนำเสนอเครื่องยนต์ดีเซลเข้ามา ซึ่งคุณไม่สามารถหาได้ในรถยนต์จากญี่ปุ่น เพราะจะเน้นไปทางไฮบริดมากกว่า
2.ความต้องการขับขี่ ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถเองบ่อยครั้ง และไม่เน้นให้ใครมาขับรถแทนวางใจตัวเองมากกว่ารถยนต์คอมแพ็คคาร์จากยุโรป คือคำตอบที่เหมาะสม
ประเด็นสำคัญ อยู่ที่สมรรถนะตัวรถที่ตอบโจทย์ตรงสมรรถนะการขับขี่ ไม่เพียงเครื่องยนต์เท่านั้น หากยังรวมถึง ระบบกันสะเทือน ที่ออกแบบมาอย่างดี สามารถทำความเร็วสูงได้ในยามจำเป็น และขับสบายกว่าแม้ว่ารถจะคันเล็กกว่า
อีกข้อสำคัญที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย คือรถเหล่านี้จะมีระบบช่วยขับขี่ ประเภท Active Safety เชิงช่วยเหลือในระหว่างการขับขี่ เช่นระบบเตือนมุมบอดสายตา , ระบบเตือนการหลุดเลน หรือระบบช่วยเบรกอัตโนมัติทางด้านหน้า ติดตั้งเข้ามาเพิ่มเติมตอบสนองต่อการใช้งาน
รถญี่ปุ่นซีดานกลางเอง อาจมีสมรรถนะการขับขี่ไม่ย่อหน่อยกว่ากันนัก แต่เรื่องความสามารถระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันยังไม่เยอะเท่า โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ซื้อรุ่นท๊อป ซึ่งนั่นเป็นประเด็นสำคัญที่ควรศึกษาให้ดี
3.ภาพลักษณ์ภูมิฐาน ถ้าอยากได้ภาพภูมิฐานจริงๆ ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าขับรถแบรนด์ยุโรปยังไงก็ดูโก้เก๋กว่าแน่นอน ด้วยภาพการรับรู้ของคนทั่วไป คุณขับเบนซ์ไปในห้างอาจได้รับการบริการที่ดีกว่าขับรถญี่ปุ่นทั่วไปไปห้าง ก็ไม่แปลกใจนัก
จุดนี้อาจเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับบางคนเป็นเรื่องสำคัญมาก ต่อการตัดสินใจ อาจด้วยควาดหวังสิทธิพิเศษต่างๆ ที่มากับรถราคา 2 ล้านบาทขึ้นไปก็ได้
4.ราคาบริการหลังการขาย ถึงรถจะเล็กแต่ปัญหาข้อหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ หนีไม่พ้นค่าใช้จ่ายบริการหลังการขายที่จะเกิดขึ้นไปตลอดอายุการใช้งานรถ
รถยนต์ยุโรปขับดีสมรรถนะเยี่ยม นั่นก็เพราะการใช้การวิศวกรรมขั้นเทพตอบลูกค้าที่ต้องการสมรรถนะจากตัวรถ เมื่อนานวันไปย่อมมีการเสื่อมสภาพสุดยอดวิศวกรรมเหล่านี้ก็จะกลับมาย้ำคุรถึงค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายในวันข้างหน้า ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการซื้อรถยุโรป ต่อให้รุ่นเริ่มต้นก็ต้องเจอค่าใช้จ่ายแสนแพง(อาจจะยกเว้นค่าย BMW ไว้ เด้วยระบบประกัน BSI)
กลับกันรถญี่ปุ่นถึงจะคันใหญ่กว่าก็จริง แต่ค่าบำรุงรักษาก็ไม่ได้แพงนัก แน่นอนมันต้องแพงกว่ารถปกติทั่วไปที่เราใช้ แต่จะไม่แพงเท่ารถยุโรป โดยเฉพาะถ้าคุณเปรียบเทียบระยะเวลาการครอบครอง 5 ปี รถญี่ปุ่น จะมีดีกว่าเรื่องค่าใช้จ่ายในการบริการ
5.ความเหมาะสมระยะยาวท้ายที่สุดแล้ว เราควรตัดสินว่า ในงบ 2 ล้านบาท อะไรเป็นรถที่เหมาะสมสำหรับคุณเรื่องสุดท้าย ที่ผมอยากจะพูดให้ฟัง คือ เรื่องความเหมาะสมและความทนทานระยะยาว
ส่วนตัวค่อนข้างมั่นใจว่ารถยนต์หรูคันแรกใครซื้อก็อยากใช้งานไปในระยะยาวๆเท่าที่เราจะสามารถดูแลไหว ซึ่งการใช้สุดยอดวิศวกรรมทั้งหลายในรถยนต์ยุโรปตามมาด้วยค่าใช้จ่ายสูงในรยะยาว ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งตามคำแนะนำนการใช้รถยนต์ในยุโรปจะแนะนำให้เปลี่ยนรถยนต์ 5-7 ปี ถ้าคุณมีแผนว่าจะใช้รถยนต์แล้วเปลี่ยนในระยะเวลาดังกล่าวในอนาคตก็แลดูจะไม่ใช่ปัญหามากมายอะไรนัก
กลับกันถ้าคิดว่า นี่น่าจะเป็นรางวัลชิ้นเอกในความสำเร็จของชีวิต อาจจะต้องการใช้รถยนต์ไปอีก 7-10 ปี รถญี่ปุ่นซีดานกลาง จะเหมาะสมกว่า ด้วยค่าดูแลรักษาในระยะยาว แม้ว่าจะเป็นรุ่นไฮบริดก็ยังมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า รถจากยุโรป
ดังนั้นเรื่องนี้ อาจต้องตัดสินใจให้ดี เพราะเมื่อคุณซื้อต้องรับสภาพระยะยาวการดูแลรักษารถด้วย
การซื้อรถยนต์หรูคันแรกสมควรอย่างยิ่งจำเป็นต้องชั่งใจและศึกษาให้ดี เนื่องจากรถหรูมาคู่การดูแลรักษาในระยะยาวซึ่งคุณจำเป็นต้องเข้าใจในรายละเอียดหลายมิติ ก่อนเลือกรถที่เหมาะสม