กระแสการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้บริษัผู้ผลิตต้องนำเสนอสิ่งต่างๆ ใหม่ๆ เข้ามาตอบโจทย์ลูกค้า ดั้งเดิมทีเครื่องยนต์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดราคาและรุ่นย่อย จนก่อให้เกิดประเด้นว่า ซื้อรุ่นนั่นไม่ได้ออพชั่นนี ้แต่ทิศทางใหม่ บริษัทผู้ผลิต กำลังเปลี่ยนไป ด้วยการให้เครื่องยนต์รุ่นเดียวทั้งหมด
เทคนิค One engine กำลังเข้ามาในตลาดเมืองไทย อย่างช้า ที่จริงแนวคิดนี้ถูกใช้มาสักพักใหญ่ แล้วในช่วง ปีที่ผ่านมา ด้วยความต้องการลดแพลทฟอร์มเครื่องยนต์ ให้ดูเหมือนๆกัน แล้วไปแตกต่างกันที่การปรับจูนกำลัง (ในยุคแรก) กับออพชั่นภายใน
มาระยะหลัง เทคนิคนี้ ถูกนำมาใช้โดยปราศจากการมีเครื่องยนต์แบบ Hi-Power และ Low Power กลายเป็นเครื่องยนต์เดียวใช้ทั้งไลน์อัพ โดยเริ่มจาก Mitsubishi Triton ตัวก่อนปัจจุบัน ที่มีการอัพเดท เครื่องยนต์เป็นพลัง 180 ม้า ทั้งหมด ไม่ว่าจะซื้อขับสองยกสูง หรือ ขับสี่ก็ตาม
จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว ทำให้มิตซูบิชิประสบความสำเร็จในแง่การขาย เนื่องจากลูกค้าในรุ่นต่ำ รู้สึกว่าคุ้มค่า จ่ายน้อยได้เครื่องยนต์ทรงพลัง โดยเฉพาะในกลุ่มกระบะรถนั่ง 4 ประตู ทำให้หลายแบรนด์เริ่มทำตาม หนึ่งในนั้นคือ นิสสันที่ออกมาเปิดตัว กระบะ Nissan Navara หน้าใหม่ ขายเครื่องยนต์เดียทั้งไลน์อัพ โดยเฉพาะรุ่นเกียร์ออโต้ ทีไ่ด้ถึง 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร มากเทียบเท่าเจ้าตลาดรุ่นใหญ่
ในฝั่งรถนั่ง มาสด้า ก็เป็นแบรนด์เก๋งที่ชัดเจนในการให้ เครื่องยนต์เดียวเหมือนทั้งไลน์อัพ ใน รถยนต์ Mazda 3 และ หลังจากนั้น ก็ขยายมาสู่ Mazda CX-30 ในปัจจุบัน ซึ่งที่จริงมาสด้าใช้เทคนิคนี้มาสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่แนะนำระบบ Mazda Sky Activ เข้าตลาดเมืองไทย เช่นเดียวกับ Subaru ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.0 เพียงไลน์อัพเดียวในรถกลุ่มอเนกประสงค์ในไทย ทั้ง Subaru XV และ Subaru Forester
กระแสกำลังแรง อนาคต เครื่องยนต์จะไม่ใช่ประเด็น
ไม่เพียง 2-3 แบรนด์ที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นเท่านั้น อีกหลายบริษัทกำลังปรับเปลี่ยนการมีหลายเครื่องยนต์สู่การมีเครื่องยนต์เดียว เช่่น MG ถ้าสังเกตในรถทุกรุ่นของเอ็มจี จะวางจำหน่ายเพียงเครื่องยนต์รุ่นเดียวเท่านั้น ส่วนถ้าจะมีรุ่นที่เหนือกว่า ก็จะตอบเป็นระบบเสริม เช่นการติดตั้งเทอร์โบชาร์จ หรือ ไฮบริด แทนที่จะมีเครื่องยนต์ 2 ขนาด เหมือนในอดีต เป็นต้น
บริษัทกระบะเบอร์ 3 อย่างฟอร์ดเอง ก็มีแนวโน้มจะทำในลักษณะเดียวกันในว่าที่ Ford Ranger รุ่นต่อไป ด้วยการวางเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรจากรุ่นปัจจุบันเป็นพื้นฐานส่วนใหญ่ แล้วแยกเป็นเทอร์โบเดี่ยว เทอร์โบคู่แทน ซึ่งก็จะทำให้ลูกค้าไม่แตกแยกระหว่างกันในเรื่องเครื่องยนต์
สาเหตที่การทำระบบ One Engine ได้รับความนิยม มาจากหลายสาเหตุสำคัญ ด้วยกัน
ประการแรก ในเรื่องกระบวนการผลิตเครื่องยนต์ ไม่ต้องทำชิ้นส่วนมากมายเกินไป ช่วยลดต้นทุนการผลิต แทนที่จะต้องพัฒนาเครื่องยนต์ 2 รุ่น ก็เหลือเพียงรุ่นเดียว แล้วนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการให้กำลังแทน
ประการต่อในแง่หลังการขายก็ง่ายขึ้นเยอะ เพราะ ชิ้นส่วนไม่ต้อง สต๊อคของ 2 เครื่องยนต์เหมือนเดิม ช่างซ่อมบำรุง ก็ทำงานง่าย เนื่องจาก พื้นฐานเครื่องยนต์เดียวกัน ช่วยให้ง่ายในการฝึกอบรม และขั้นตอนในการตรวจหาความผิดปกติของเครื่องยนต์ ในกรณีมีปัญหา ไปจนถึง การสต๊อคอะไหล่เกี่ยวเนื่องด้วย
ข้อสุดท้าย ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องพละกำลังเครื่องยนต์มากเกินความจำเป็น ช่วยให้ลูกค้าโฟกัสกับที่ออพชั่นตัวรถ ซึ่งง่ายต่อการนำเสนอในการมุมมองทางการตลาด ด้วย
แล้วข้อเสีย
อย่างไรก็ดี การให้ขุมพลังที่เหมือนกันทั้งหมดนั้น แม้ว่าจะมีข้อดี ก็มีข้อที่ทำให้หลายคนต้องพิจารณาไม่น้อย
ข้อแรกลูกค้าจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของตัวรถ ระหว่างรุ่นล่างกับรุ่นบนมากนัก ทำให้ลูกค้ากังวลมากกว่าเป็นผลดี โดยเฉพาะคนที่ซื้อรุ่นบน อาจจะรู้สึกว่า เนื้อแท้รถของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นช่างเท่าไรนัก ขาดความรู้สึกที่เป็นพรีเมี่ยมเกรดหายไป
ข้อต่อมา เครื่องยนต์ที่มีกำลังเท่ากัน ทำให้ ความโดดเด่นทางด้านพละกำลังหายไป เดิมทีจุดขายนี้ ทำให้ หลายคนตัดสินใจซื้อรถรุ่นท๊อปที่มีกำลังขับมากกว่า เมื่อเครื่องยนต์เหมือนกัน บางคนอาจจะมองว่าไม่จำเป็นต้องไปถึงรุ่นท๊อปก็ได้
ต่างประเทศกำลังฮิต และไทยกำลังปรับ
แม้ว่าไทยดูเหมือนจะเพิ่งปรับตัวมาสู่แนวคิดนี้ แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากแผนงานในต่างประเทศ ที่พยายามใช้เครืองยนต์ให้มีความหลากหลายน้อยลง ลดค่าใช้จ่ายรัดเข็มขัดที่ไม่จำเป็น เช่น ฮอนด้าใช้เครืองยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ในรถรุ่นเดียวกันทั่วโลก
หรืออย่างใน ออสเตรเลีย อีซูซุ นำเสนอ เพียงเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เพียงรุ่นเดียว เนื่องจากมองว่าเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด ในตลาดนั้น
ประเทศไทย เราเริ่มเห็นบ้างแล้ว ตามที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ หลักการ One Engine นั้น จะเห็นชัดขึ้นอีกต่อจากนี้ เช่นใน Honda Civic, Mazda 3 และ ยังมีรถอีกหลายรุ่นที่เตรียมปันตัวมาในทิศทางนี้ เช่นกระแสข่าวลือ ของ Toyota Camry โฉมใหม่ จะมีเพียงเครืองยนต์ 2.5 ลิตรเท่านั้น เป็นต้น
นั้นหมายความว่า ต่อจากนี้เรา ในฐานะผู้บริโภค ก็จะโชคดีตรงไม่ต้องมานั่งปวดหัว อยากได้เครื่องแรง แต่ไม่อยากได้ออพชั่นล้นๆ เพราะ ต่อจากนี้ เครื่องยนต์จะมีกำลังเท่าๆ กัน ที่เหลือ เราแค่เลือก ออพชั่นทีเ่ราชอบก็พอครับ