กระแสรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยต้องเรียกว่ามาแรงในตลอดช่วง -3 ปีที่ผ่านมา ถึงจะยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควรนัก อันมาจากปัญหาเรื่องการให้บริการจุดชาร์ตต่างๆ หากก็ได้รับความสนใจจากคนจำนวนมากที่มองหาการเดินทางอันล้ำสมัยกว่าเดิม
วันนี้ทีมงาน Ridebuster จะมาสำรวจผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าว่าปัจจุบันมีค่ายไหนนำเข้ามาจำหน่ายแล้วบ้าง และขับได้ไกลเท่าไหร่จากรายละเอียดทางเทคนิค
MG ZS EV
รถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาถูกที่สุดในเวลานี้คงไม่มีใครนอกจาก MG ZS EV จากผู้ผลิตแบรนด์อังกฤษ ทุนจีน ที่เคาะราคามาเพียง 1.19 ล้านบาท พัฒนาบนตัวถังรถยนต์ MG ZS รุ่นเดิม แต่เปลี่ยนการขับเคลื่อนเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 150 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ 44.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ตามการเปิดเผยของผู้ผลิตจากการทดสอบในโหมด NEDC สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดต่อการชาร์ต 337 กิโลเมตร
เรามีโอกาสนำรถคันนี้มาทดสอบด้วยตัวเอง พบว่าจากการขับขี่ด้วยระยะทางต่อการชาร์ตสูงสุดจะมีระยะทางเพียง 301 กิโลเมตร ( Eco Mode ) ซึ่งใช้งานได้ดีมากขึ้นถ้าคุณขับในเมือง
ในด้านการชาร์ตไฟ ใช้หัวชาร์ตแบบ Type2 ทาง MG ได้ให้หัวชาร์ตพกพามาด้วยในกรณีที่คุณต้องการชาร์ตอย่างเร่งด่วนในบางสถานการณ์ ส่วนการชาร์ตเร็วใช้เวลา 30 นาที ในการชาร์ตไฟได้ 80% ของแบตเตอรี่ ตลอดจน MG ยังติดตั้งหัวชาร์ตให้บริการลูกค้าที่โชว์รูม MG อีกด้วย (ให้บริการฟรี)
MG ZS EV ราคา 1,119,000 บาท ระยะทางต่อการชาร์ต 337 กิโลเมตร
Nissan Leaf
รถยนต์ไฟฟ้ายอดขายอันดับ 1 ทั่วโลก ไม่มีใครอื่นไกลนอกจาก Nissan Leaf มันได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้รถไฟฟ้าทั่วโลก และยังมียอดขายสูงสุดในตระกูลนี้
Nissan Leaf นำเสนอในสไตล์รถเก๋ง 5 ประตู ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า มีระยะทางต่อการชาร์ต 311 กิโลเมตร ตามโหมด NEDC ใช้หัวชาร์ตแบบ ChaDemo และ Type1 ส่งไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ด้านสมรรถนะการขับขี่เป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 150 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่ามากเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปปกติ
จุดขายของ Nissan Leaf อีกประการ คือการให้ความสบายในการขับขี่ โดยเฉพาะระบบ E-pedal เทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเร่งและเบรกโดยใช้แป้นคันเร่งเพียงแป้นเดียวในการขับขี่ ตลอดจนยังมีเทคโนโลยีเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติมาให้ กล้องมองรอบทิศทาง มันช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่ และที่สำคัญที่สุด นี่คือรถจากผู้ผลิตญี่ปุ่นรายเดียวที่วางขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
Nissan Leaf สนนราคาจำหน่าย 1,990,000 บาท (ระยะทางต่อการชาร์ต 311 กิโลเมตร)
Audi E-tron
รถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตเยอรมัน หากต้องการทรวดทรงเอนกประสงค์ SUV นาทีนี้คงจะมีแต่ Audi E-tron จากค่ายสี่ห่วงเท่านั้น
Audi เปิดรถรุ่นนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยรุ่นที่วางจำหน่ายในไทยคือ Audi E-tron 55 Quattro มันติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง มีกำลังขับรวมปกติ 360 แรงม้า มอเตอร์ทางด้านหน้าให้กำลัง 170 แรงม้า และมอเตอร์ทางด้านหลังให้กำลัง 190 แรงม้า และในโหมดนี้ ให้แรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร
ถ้าคิดว่าโหมดปกติยังแรงไม่สะใจ ในบูทโหมด กำลังขับรวมจะเพิ่มเป็น 408 แรงม้า มอเตอร์ทางด้านหน้าให้กำลัง 184 แรงม้า มอเตอร์ทางด้านหลังให้กำลัง 224 แรงม้า ทำแรงบิดรวม 664 นิวตันเมตร เป็นรถรุ่นเดียวที่ขับเคลื่อน 4 ล้อ
Audi E-tron มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 95 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีระยะทางต่อการชาร์ต NEDC 385 กิโลเมตร
ตัวรถมีความยาว 4,901 มม. เทียบเท่ารถเอนกประสงค์ขนาดกลางในปัจจุบัน มีความกว้างรวมกระจกมองข้าง 2,043 มม. และสูง 1,692 มม. ภายในมีให้เลือก 3 สี มาพร้อมหลังคาพาโนรามิคเปิดด้วยไฟฟ้า เครื่องเสียง Bang and Oulfsen ติดตั้งแผนที่มาให้ และจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว
Audi รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กม. ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงที่สำคัญของ Audi
Audi E-tron สนนราคาจำหน่าย 5,990,000 บาท (ระยะทางต่อการชาร์ต 385 กิโลเมตร)
Mini Electric
มินิ เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ล่าสุดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า พวกเขาเพิ่งเปิดตัวรถ Mini Electric เจ้าตัวเล็กเวอร์ชั่นไฟฟ้าออกมาวางจำหน่ายแก่ผู้ที่จสนใจ ด้วยราคา 2.29 ล้านบาทเป็นค่าตัว
Mini Electric พัฒนาบนตัวถังรุ่น 3 ประตู ปรับปรุงสมรรถนะ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ มาขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า มอเตอร์ให้กำลัง 184 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร มาพร้อมแบตเตอร์รี่ ขนาด 93.2 แอมป์ฮาว อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.มในเวลา 7.3 วินาที เท่านั้น
จุดขายของมินิ ไฟฟ้ายังคงเหมือนเดิม สไตล์ที่มาพร้อมสมรรถนะในการขับขี่
BYD E6
BYD ถือว่าเป็นผู้นำในตลาดรถไฟฟ้า พวกเขาเป็นค่ายแรกๆที่นำรถยนต์ไฟฟ้ามาเสนอกับคนไทย
ตัวรถ BYD E6 อาจไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใหม่มากในตลาดต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทย BYD E6 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นบุกเบิกก่อนใครเขาเพื่อน แม้ว่าการดำเนินตลาดของทาง BYD จะมุ่งเน้นตลาดรถยนต์สาธารณะ และตลาดรถฟรีทมากกว่ารถยี่ห้ออื่นๆก็ตาม
จุดขายของรถรุ่นนี้คือ ขนาดตัวรถที่มีความใหญ่ ออกแบบให้เป็นทรวดทรงลักษณะ MPV ผสมกับ SUV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้า และทำแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ขับเคลื่นอด้วยแบตเตอรี่ Lithium iron phosphate ขนาด 80 กิโลวัตต์ ทำให้รถรุ่นที่วางขายในไทย สามารถเดินทางได้ระยะไกลที่สุด 400 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุด 149 กิโลเมตร / ชั่วโมง
นอกจากนี้ตัวรถยังมีฟังก์ชั่นพิเศษที่น่าสนใจบางประการ โดยเฉพาะ การสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็น Power bank ชาร์ตรถไฟฟ้าคันอื่นได้ การชาร์ทไฟเข้าแบตเตอรี่ ใช้เวลา 11.5 ชั่วโมง จึงจะสามารถชาร์ทได้จนเต็ม ถ้าต้องการชาร์ตเร็วแบบ 40 กิโลวัตต์ ต้องใช้ระบบไฟ 3 phase แบบพิเศษ จะย่นระยะเวลาชาร์ตลงมาเหลือ 1.5 ชั่วโมง
แม้ BYD จะเป็นรถที่หลายคนมองข้าม เนื่องจากเป็นแบรนด์จีนที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก แต่แบรนด์นี้ก็สร้างชื่อในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามายาวนาน และปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่น โดย BYD E6 ขายในประเทศไทยในราคา 1.89 ล้านบาท และยังคงเป็นรถรุ่นเดียวที่เป็นสไตล์ MPV
Fomm one
Fomm เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่ในระดับโลก ที่มาตั้งสายการผลิตอยู่ในประเทศไทยโดยมีเป้าหมายสร้างรถยนต์ที่คนจะต้องใช้ในการเดินทางลำดับแรก จากบ้านไปยังพื้นที่ที่ต้องการ จึงเกิดมาเป็นความคิดของ Fomm one รถยนต์ขนาดเล็กกะทัดรัด รองรับได้ 4 ที่นั่ง
ขนาดรถยาวเพียง 2,585 มม. กว้าง 1,295 มม. และสูง 1,560 มม. ได้แนวทางการออกแบบ เน้นความน่ารัก แต่ด้วยขนาดรถ ให้วิจารณ์กันตามตรง คงไม่เหมาะกับการเดินทางไกลไปกว่าชีวิตคนเมือง
จุดขายของ Fomm อีกอย่างคือการติดตั้งระบบมอเตอร์ไฟฟ้า แบบมอเตอร์ inwheel ซึ่งทำให้แตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น โดยสิ้นเชิง การชาร์ตไฟสามารถชาร์ตด้วยระบบไฟบ้านได้ตามปกติ โดยใช้เวลา 6 – 8 ชม. และมีระยะทางต่อการชาร์จ 160 กิโลเมตร
ด้านมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ในดุมล้อ ให้กำลังขับสูงสุด 13 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตร รถทำความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตร / ชั่วโมง นอกจากนี้ ภายในตัวรถ ยังใช้พวงมาลัยแบบ 2 ก้าน คล้ายพวงมาลัยเครื่องบิน การเร่งรถคันนี้ใช้การดึงก้านหลังพวงมาลัย และเบรกอยู่ที่เท้าเหมือนเดิม จึงอาจรู้สึกว่าแปลกๆเวลาขับรถคันนี้
อย่างไรก็ดี ด้วย Fomm เข้ามาขายในประเทศไทย จึงพยายามทำให้สอดคล้องกับสิ่งที่คนไทยต้องการ โดยเฉพาะการต้องเจอกับสภาวะน้ำท่วม น่าจะต้องเรียกว่า Fomm เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก และรุ่นเดียว ที่สามารถลอยน้ำได้ คล้ายกับเรือ และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อ ขับเคลื่อนแต่ก็คงใช้ได้เพียงในจังหวะที่น้ำท่วมปกติเท่านั้น
Fomm one ตัวเล็กแต่ราคาไม่เล็ก ขายอยู่ที่ 664,000 บาท เราต้องพูดว่ามันเป็นรถสำหรับจ่ายกับข้าวหรือเดินทางใกล้ๆ ไม่ตากแดดตากลงเหมือนมอเตอร์ไซต์ แต่ถ้าคิดว่าจะซื้อไปใช้งานจริงจัง อาจต้องบอกผ่านจะดีกว่า
Hyundai Ionic
ชื่อ Ionic เกิดขึ้นจาก Hyundai ด้วยความตั้งใจว่าจะสร้างรถที่รักษาสิ่งแวดล้อม ในตระกูล ionic มีตั้งไฮบริด (จำหน่ายในต่างประเทศ) และรุ่นขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ซึ่งดันเข้ามาขายในบ้านเราแบบงงๆ
ถ้าให้นับแล้ว Hyundai Ionic ถือเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของ Nissan Leaf เลยก็ว่าได้ ภายนอกถูกออกแบบให้มีความเรียบง่ายและดูดี ตลาดจนยังทันสมัยในงานออกแบบ มีความลู่ลม ปราดเปรียว ด้วยค่าสัมปะสิทธิ์แรงต้านอากาศ เพียง 0.24 เท่านั้น
ส่วนภายในห้องโดยสารให้ความทันสมัย ด้วยหน้าจอดิจิตัล 7 นิ้ว และระบบเกียร์ปุ่ม ที่ชาร์ตโทรศัพท์ไร้สาย ตลอดจนระบบความบันเทิงหน้าจอ 5 นิ้ว
ทางด้านระบบขับเคลื่อน ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 120 แรงม้า และทำแรงบิดสูงสุด 295 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยแบตเตอรี่ lithium – ion polymer ขนาด 98 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์ตไฟจนเต็ม 4.25 ชั่วโมง (ชาร์ต wall box) รอบรับการชาร์ตด้วยระบบ Type2 ตามข้อมูลจากทาง Hyundai ประเทศไทย รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ มีระยะทางวิ่งสูงสุด 280 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุด 165 กิโลเมตร / ชั่วโมง อัตราเร่ง 0 – 100 ในโหมดปกติ ทำได้ 10.2 วินาที
ส่วนราคาขายรถรุ่นนี้อยู่ที่ 1.749 ล้านบาท
Hyundai Kona
รถยนต์เอนกประสงค์ไฟฟ้าอีกรุ่นจากแดนกิมจิ ออกแบบให้มีพลิ้วไหวจากด้านหน้าจรดบั้นท้าย โดนเด่นสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น จนเป็นที่ถูกใจของหลายคน ตัวรถมาพร้อมสไตล์ Twin headlight ใช้ไฟท้าย LED ติดตั้งล้ออัลลอยด์ขอบ 17 นิ้ว
ส่วนภายในห้องโดยสาร ออกแบบให้มีความสปอร์ตทันสมัย รายละเอียดส่วนใหญ่อาจคล้ายตัวเก๋ง ionic อยู่บ้าง แต่มีพื้นที่สัมภาระรวมมากถึง 373 ลิตร
ด้านสมรรถนะการขับขี่ Hyundai Kona ให้กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า 136 แรงม้า ทำกำลังแรงบิดสูงสุด 395 นิวตันเมตร และเร่ง 0 – 100 ด้วยเวลา 7.6 วินาทีเท่านั้น
มันพกแบตเตอรี่ขนาด 104 กิโลวัตต์ ตามข้อมูลของ Hyundai สามารถขับได้ไกลถึง 482 กิโลเมตร ต่อการชาร์ต และถ้าวัดตามมารตรฐาน NEDC จะมีระยะทางต่อการชาร์ต 546 กิโลเมตร การชาร์ตด้วยโหมดปกติ ( wall box 7.2 กิโลวัตต์) ใช้เวลาชาร์ตจนเต็ม 9.35 ชั่วโมง และสามารถชาร์ตเร็ว ด้วยไฟกระแสตรงสูงสุด 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะใช้เวลา 54 นาที จึงจะได้ 80 % ของแบตเตอรี่
สำหรับ Hyundai Kona วางขาย 2 รุ่น คือ Electric SE ในราคา 1.849 ล้านบาท และ Electric SEL ในราคา 2.259 ล้านบาท
BMW i3s
BMW i3s เป็นการกลับมาอีกครั้งของรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายตราพัดฟ้า แดนเยอรมัน รถรุ่นนี้ขายมานาน ในหลายประเทศตลอดจนประเทศไทยในช่วงเวลาหนึ่งก่อนจะหายออกไป ตัวรถนำเสนอการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ออกแบบให้มีความผสมผสานระหว่างรถซิตี้คาร์ กับ รถเอนกประสงค์ มาพร้อมสีทูโทน ให้ความรู้สึกสปอร์ต รวมถึงไฟฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ U shape พร้อมกระจังหน้าไตคู่ จุดขายสำคัญของรถรุ่นนี้อยู่ที่โครงสร้างวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เสริมแรงทั้งคัน และจัดวางแบตเตอรี่ไว้ที่พื้นรถ ด้านการขับขี่ให้ความสปอร์ตด้วยกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 184 แรงม้า และทำแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร สามารถเร่ง 0-100 ได้ในเวลา 6.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กิโลเมตร / ชั่วโมง ระยะทางต่อการชาร์ตของ BMW i3s อยู่ที 260 กิโลเมตร (จากการเคลมของ BMW ) มันอาจจะฟังดูน้อย แต่ก็เพียงพอกับการใช้งานในแต่ละวัน ถ้าเอาตามที่ NEDC เคลมการใช้งานจะมีระยะทาง 345 กิโลเมตรต่อการชาร์ต
ส่วนเวลาที่ใช้ในการชาร์ตแบตเตอรี่ ถ้าตาปมกติทั่วไปที่ไฟ 16 แอมป์ จะใช้เวลาชาร์ตจนถึง 80% ของแบตเตอรี่ใน 9.7 ชั่วโมง ด้านการชาร์ตเร็วของรถคันนี้ ที่ 125 แอมป์ บนหัวชาร์ต 50 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์ตทั้งสิ้น 45 นาที จะได้ 80 % ของแบตเตอรี่
ราคา 3.7 ล้านบาท ( 3.73 ล้านบาท พร้อม BSI standard packet ) ระยะทางสูงสุด 345 กิโลเมตร
Jagaur I Pace
รถยนต์ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของโลกปีล่าสุด Jagaur I Pace มีขายในประเทศไทยกับเขาด้วย รถคันนี้ถือเป็นเพชรน้ำงามของแบรนด์รถยนต์จากอังกฤษ โดยมีจุดขายอยู่ที่การเป็นรถเอนกประสงค์ สมรรถนะสูง ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน พร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสที่สุดสมรรถนะ
ตัวรถนำเสนอระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำกำลังสูงสุด 400 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 696 นิวตันเมตร ตอบสนองด้วยแรงบิดฉับพลัน ให้ความตื่นเต้นทันทีที่เหยียบลงไปบนคันเร่ง การติดตั้งมอเตอร์แบ่งออกเป็นด้านหน้าและด้านหลัง แยกอิสระกัน 2 เพลา เพื่อให้ความสามารถในการขับเคลื่อน 4 ล้อได้ มันให้อัตราเร่ง 0-100 ในระยะเวลา 4.8 วินาที
มาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ขนาด 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง วางไว้ที่พื้นรถเพื่อให้ได้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำที่สุด ระบบขับเคลื่อนของรถคันนี้ใช้ชุดเกียร์พิเศษ สามารถให้อัตราเร่งจาก 0 – 12,000 รอบต่อนาที โดยไม่เกิดการสะดุด
นอกจากนี้ยังมีระบบอำนวยความสะดวกต่างๆที่น่าสนใจในการขับขี่ เช่น ระบบ Active air suspension เมื่อรถเดินทางด้วยความเร็วเกิน 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วงล่างจะปรับระดับลดลงจากเดิมอีก 10 มม. เพิ่มความสามารถในการเกาะถนนมากขึ้น นอกจากนี้ระบบ Adaptive dynamics ยังช่วยประมวนผลในการเร่ง ใช้พวงมาลัย และเบรก ตลอดเวลาที่ขับขี่ และปรับเซตระบบช่วงล่างให้เหมาะสม ระหว่างความนุ่มนวลและอำนาจการควบคุม และท้ายสุด คุณยังสามารถเซตตัวรถให้ตอบสนองในแบบที่คุณต้องการได้ด้วย
สมรรถนะในด้านระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าของรถคันนี้ มันสามารถขับขี่ได้ไกลสูงสุด 470 กิโลเมตรต่อการชาร์ต ( WLTP cycle ) ตัวรถยังมีระบบจัดการชาร์ตประจุด้วยการเบรก หรือ Heavy Traffic Breaking ทำให้รถตอบสนองต่อการใช้งานได้มากขึ้นเมื่อการจราจรติดขัด
ส่วนภายในห้องโดยสาร ออกแบบให้มีความหรูหราและทันสมัย ใช้ชุดจอในการควบคุมระบบต่างๆมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเรือนไมล์ หรือ ระบบปรับอากาศ เบาะนั่งออกแบบมาให้มีความสปอร์ต มันมาพร้อมหลังคาแก้วเต็มบาน ทำให้รถคันนี้ครบเครื่องในทุกด้านที่ทุกคนต้องการ
Jagaur I Pace มีราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 5.699 ล้านบาท ( ระยะทางต่อการชาร์ต 470 กิโลเมตร)
ที่จะมาในอนาคต
Mazda Mx-30
Mazda ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท เปิดตัวด้วยการออกแบบมาเป็นไสตล์รถเอนกประสงค์ ที่ผสมผสานทั้งการออกแบบ และการขับขี่เอาไว้ด้วยกันในหนึ่งเดียว
มีความเป็นไปได้สูงที่มาสด้าประเทศไทยอาจตัดสินใจจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ ด้วย 2 เหตุผล คือ 1. สามารถนำเข้าได้จากประเทศเพื่อนบ้าน (มาเลเซีย) ซึ่งจะมีการผลิตรถรุ่นนี้ด้วยอนาคตอันใกล้ และ 2. ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตประเทศญี่ปุ่นยังมีช่องว่างในการทำตลาดอยู่บ้าง และตลาดกลุ่มนี้เริ่มเป็นที่สนใจของผู้บริโภค
ตัว Mazda Mx-30 ให้ความรู้สึกสปอร์ตและทันสมัยในการออกแบบ ตัวรถมาพร้อมประตูฟรีสไตล์แคป สามารถเปิดได้ 2 บ้าน คล้ายรถกระบะแคป ทรวดทรงด้านท้ายออกแบบมาเป็นกึ่งรถคูเป้ นับเป็นความท้าทายของมาสด้าในการออกแบบรถรุ่นนี้
ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึดกลมกลืนระหว่างการออกแบบ และพื้นทีใช้สอยภายในรถ มันตบแต่งด้วยเบาะนั่งผ้าสีเทา และใช้วัสดุธรรมชาติที่พิเศษ เช่น ไม้กอล์ฟ ให้สัมผัสความเป็นธรรมชาติภายในห้องโดยสาร รวมถึงยังใช้เส้นใยจากพลาสติกรีไซเคิลมาทำชิ้นส่วนของประตูภายในห้องโดยสาร ตัวรถออกแบบให้รองรับผู้โดยสารทั้งหมด 4 ที่นั่ง
ส่วนระบบขับเคลื่อน E – Skyactive มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเที่ยม ไอออนขนาด 35.5 กิโลวัตต์ เรื่องกำลังของระบบยังไม่มีการเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน แต่มีรายงานว่ารถคันนี้จะมีระยะทางต่อการชาร์ต ประมาณ 220 กิโลเมตร เท่านั้น
Mercedes Benz EQC 400 4Matic
คันนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่า จะมาขายในประเทศไทยอย่างแน่นอน หลังจากยืดเยื้อในเรื่องเงื่อนไขมายาวนาน
Mercedes Benz EQC ออกแบบมาให้เป็นรถยนต์เอนกประสงค์ ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้าคุณภาพสูงในตลาดปัจจุบัน คล้ายกรณีของ Jaquar I pace และ Audi E-Tron ภายนอก Mercedes Benz EQC ออกแบบให้มีความทันสมัย ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ Mercedes Benz ใช้ล้อสีน้ำเงินสลับกับโทนโลหะ เน้นความเรียบง่ายตั้งแต่แรกเห็น มาพร้อมชุดไฟ LED ทั้งคัน ทางด้านในห้องโดยสารให้ความหรูหรา และครบเครื่องตามสไตล์รถเอนกประสงค์ มันได้เครื่องเสียงจาก Burmester และการตัดเย็บชุดเบาะนั่งสีทูโทน ตรงกลางเบาะตัดเย็บด้วยผ้าลายเพชร
ด้านระบบขับเคลื่อนเป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ติดตั้งแยกอิสระหน้า – หลัง พร้อมเกียร์อัตราทดเดียว มันให้กำลังสูงสุด 402 แรงม้า และทำแรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร เร่ง 0-100 ในเวลา 5.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตร / ชั่วโมง ส่วนระยะการขับขี่ มีระยะทางสูงสุด 417 กิโลเมตร ( WLTP ) จากแบตเตอรี่ขนาด 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง การชาร์ตไฟในโหมดชาร์ตเร็ว ที่ 110 กิโลวัตต์ ใช้เวลา 40 นาที จะได้ 80 %
Porsche Taycan
รถคันนี้เคยเข้ามาโชว์ตัวแล้วในประเทศไทย เมื่อตอนงานรวมรถยนต์ปอร์เช่ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา Porsche Taycan ถือเป็นรถที่สร้างจากความฝันของค่ายเยอรมันรายนี้ พวกเขาต้องการทำรถสมรรถนะสูงที่มีความโดดเด่นและรักษ์โลกไปพร้อมกัน จนเป็นเรื่องราวชวนน่าสนใจเมื่อพนักงานปอร์เช่ทั้งหมดที่ประเทศเยอรมัน ยินดีที่จะให้บริษัทลดเงินเดือนชั่วคราว เพื่อสร้างรถคันนี้ให้กลายเป็นจริง
Porsche Taycan ถูกอัปเดตข้อมูลแล้วใน Porsche asia pacific โดยรุ่นที่คาดว่าจะนำมาขายคือ Porsche Taycan Turbo S มันมีกำลังสูงสุด 761 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 1,050 นิวตันเมตร ( launch control ) สามารถเร่ง 0-100 ได้ในเวลา 2.8 วินาที 0-200 ในเวลา 9.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 260 กิโลเมตร / ชั่วโมง
ด้านแบตเตอรี่ของรถรุ่นนี้ มีขนาด 93.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถเดินทางได้ระยะไกลสุด 412 กิโลเมตร การชาร์ตเร็วสามารถรองรับได้สูงสุด 270 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์ต 5.5 นาที เพื่อเดินทาง 100 กิโลเมตร และ ใช้เวลาชาร์ต 22.5 นาที จะสามารถชาร์ตไฟได้ 80% ของแบตเตอรี่ ส่วนการชาร์ตไฟปกติด้วยที่ชาร์ตขนาด 11 กิโลวัตต์ จะใช้เวลาชาร์ต 9 ชั่วโมง
ในตอนนี้รถคันนี้ยังไม่เปิดตัวขายในไทย แต่เราเชื่อว่ามันจะมาขายเอาใจสาวก Porsche กระเป๋าหนักอย่างแน่นอน
ทั้งหมดนี้คือรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในปัจจุบัน และคาดว่าจะเข้ามาขายในอนาคตอันใกล้ จะเห็นได้ว่ามีผุ้ผลิตจากหลายค่ายสนใจ และ เราเชื่อว่าในท้ายที่สุด รถยนต์ไฟฟ้าก็จะแพร่หลายในประเทศไทยมากขึ้น