ถ้าจะพูดถึงความปลอดภัยพื้นฐานในรถยนต์ ระบบเบรก ถือเป็น สิ่งที่เราวางใจมาช้านาน เบรกถือเป็ทุกอย่างในรถวันนี้ ยิ่งกับรถสมัยใหม่ใช้เกียร์ออโต้ มันแทบเป็นปราการด่านเดียว ที่ทำให้คุณ หรือ รอด จากอันตรายบนถนนปัจจุบัน
ชิ้นส่วนสำคัญ ที่เราจำเป็นต้องดูแลในเบรก มีด้วยกันหลายอย่าง แต่หน้าที่หลัก อยู่ที่ ผ้าเบรก ทำหน้าที่สร้างแรงเสียดทานระหว่างตัวมันกับจานเบรก ซึ่งติดอยู่กับชุดล้อเพื่อสร้างกดไปยังยางทั้ง 4 เส้น เพื่อหยุดหรือชะลอความเร็ว
ผ้าเบรก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนให้ความใส่ใจ และสามารถสร้างความแตกต่างได้ทันที เมื่อเปลี่ยน หรือ ขาดการบำรุงรักษา
ผ้าเบรกคืออะไร
เรามาทำความรู้จักผ้าเบรกกันก่อน ผ้าเบรก หรือ Brake Pad เป็นชิ้นส่วนสิ้นเปลือง โดยมาก ทำมาจากวัสดุที่มีส่วนผสมโลหะ เพื่อใช้ในการสร้างแรงเสียดทานกับจานเบรก
ในอดีต ผ้าเบรก อาจจะทำมาจาก ประเภทแร่ใยหิน แต่ภายหลังผู้ผลิตรถยนต์ ต่างเห็นถึงประเด็นทางด้านมลพิษ และ สุขภาพ จึงเรียกร้องให้ผู้ผลิตผ้าเบรกเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำผ้าเบรก (เฉพาะผ้าเบรกที่ติดตั้งจากโรงงานประกอบรถยนต์ ส่วนผ้าเบรกตามท้องตลาดทั่วไป อาจจะยังมีการใช้แร่ใยหิน อยู่บ้าง เพราะไม่ได้ถูกบังคับจากผู้ผลิตรถยนต์โดยตรง)
ปัจจุบัน ผ้าเบรก จึงมักใช้แร่โลหะผสมในการสร้างเนื้อผ้าเบรก ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ถูกใช้งาน ก็มีโอกาสในการเกิดสนิมผ้าเบรก จนเป็นปัญหาในการใช้งาน อาจรู้สึกว่า เบรกทื่อไม่ค่อยอยู่ จนเราน้ำเบรกบ่อยๆ ล้างหน้าสัมผัสผ้าเบรก
อายุผ้าเบรก
ถ้าจะถามว่า ผ้าเบรกมีการใช้งานนานแค่ไหน เป็นเรื่องที่ตอบยากมาก เพราะมีหลายปัจจัย ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ
ถ้าอิงข้อมูล จากผู้เชี่ยวชาญและให้บริการดูลแรักษารถยนต์ จะพูดไปในทางเดียวกันว่า ผ้าเบรก 1 ชุด จะมีอายุการใช้งาน อยู่ที่ ราวๆ 60,000-80,000 กิโลเมตร หรือ ถ้าอิงตามค่าเฉลี่ยการขับรถของคนทั่วไป ที่ตกปีละ 20,000 กิโลเมตร ผ้าเบรก 1 ชุด จะมีอายุราวๆ 3-4 ปี โดยประมาณ
แต่บางทีก็อาจจะนานกว่านั้น โดยมีปัจจัย ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- การจราจรที่ใช้งานเป็นประจำ
- พฤติกรรมการใช้งานเบรก ของผู้ขับขี่ประจำ
- น้ำหนัก และ ขนาดตัวรถ
- ความเร็วพื้นฐาน
- สถานการณ์ ที่ผู้ขับขี่พบ บนถนนระหว่างการขับขี่
- การออกแบบระบบเบรกที่ติดรถของคุณ เช่น มีการกระจายแรงเบรกอย่างไร มีระบบช่วงชะลอความเร็ว หรือไม่
ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของสิ่งที่จะบ่งว่า ผ้าเบรก คุณสึกเร็วหรือ ช้า และเป็นไปอย่าง สมเหตุสมผล หรือไม่ประการใด
ตัวแปรการใช้ผ้าเบรก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขกิโลเมตรที่คุณขับรถไปแล้ว แต่อยู่ที่สถานการณ์ วิธีการขับขี่ของคุณนั่นเอง
ถ้าเราไม่คุยกันอายุตามระยะทาง เนื่องจากผ้าเบรกทำมาจากวัสดุโลหะ ย่อมมีโอกาสที่มันจะสึกหรอได้ แม้เราจะไม่ได้ใช้งาน (โดยเฉพาะสายจอด สายใช้น้อยทั้งหลาย) ในความรู้สึกของใครหลายคน เราได้รับคำตอบว่า ผ้าเบรกจะมีอายุการใช้งาน โดยส่วนใหญ่ ประมาณ 5-7 ปี
หลังจากนั้น อาจสุ่มเสี่ยงต่อ อาการเบรกแข็งเหยียบแล้วไม่ค่อยสร้างแรงเสียดทาน บางคนอาจจะเรียกว่า “เบรกทื่อ”
คืออาการที่เราเหยียบเบรก แล้วรู้สึกว่า เบรกจับไม่ดี มีระยะเบรกมากกว่าปกติ เนื่องจากผ้าเบรก ไม่สามารถสร้างแรงเสียดทานได้มากพอ เนื่องจากผ้าเบรกแข็ง เนื่องจากไม่ได้รับการเสียดทาน และมีความร้อนบ่อยๆ ส่งผลให้มีระยะทางเบรกมากกว่าปกติ และ อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
เมื่อไร ควรเปลี่ยน ผ้าเบรก
มาถึงตรงนี้ หลายคน คงน่าจะเริ่มเห็นความสำคัญ ของผ้าเบรก ไม่มากก็น้อย เรามาถึงคำถามสำคัญแล้วว่า เราควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อไร
ก่อนอื่น ผ้าเบรก เป็นวัสดุ ประเภทสิ้นเปลืองใช้แล้วหมดไป แต่ไม่มีระยะแน่นอนเป็นกิโลเมตร เนื่องจาก ขึ้นอยู่กับคนขับรถ เป็นหลัก
ตามปกติแล้ว ในกรณีรถใหม่ ทุกครั้งที่เราเข้าศูนย์บริการ จะมีการตรวจเช็คระดับผ้าเบรก เป็นประจำให้ลูกค้า โดยผู้เชี่ยวชาญ หรือ ช่างเทคนิค จะคอยรายงานเราว่า ผ้าเบรกของเรา ตอนนี้ เหลืออยู่อีกกี่ มิลลิเมตร
ตามปกติ ผ้าเบรกใหม่ แกะกล่องจะมีความหนา อยู่ประมาณ 10-12 มม. แล้วแต่ผู้ผลิตผ้าเบรก
แต่ค่าที่ยอมรับได้ว่าผ้าเบรกจะยังใช้งานได้ปกติ คือ ระยะ 4-8 มม. ถือว่า อยู่ในระดับปกติที่ใขช้งานได้
ช่างเทคนิค และ ผู้เชี่ยวชาญ จะแนะนำให้เปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อ อยู่ในระดับต่ำกว่า 4 มม.และ ในระดับ 2 มม.เป็นระดับต่ำสุดที่ผู้ใช้รถควรจะตรวจพิจารณา เปลี่ยนโดยทันทีเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ล่าสุด เมื่อเดือนที่ผ่านมา (มกราคม 2568) ผมนำรถเข้าเช็คศูนย์ซูบารุเสรีไทย ได้รับรายงานว่า ผ้าเบรกรถผมเอง เหลือ 6 มม.ทั้งหน้าและหลัง หลังจากเปลี่ยนชุดก่อน (เพื่ออัพสมรรถนะ) ไปตอน 96,000 ก.ม.ปัจจุบัน 146,000 กม. หรือผ่านมา 50,000 ก.ม.เท่านั้น
ในกรณีของผม เท่ากับว่า ผ้าเบรก ผมยังเหลืออีก 4 มม. ก่อน จะต้องเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่
ถ้าเทียบกับปริมาตรผ้าเบรกปกติ ตั้งแต่การเปลี่ยนครั้งสุดท้าย ตกเฉลี่ย ผมจะใช้ผ้าเบรกประมาณ ปีละ 1 มิลลิเมตร เท่านั้น
อย่างไรก็ดี ในบางกรณี คุณอาจจำเป็นต้องพิจารณาเปลี่ยนผ้าเบรก เร็วกว่าที่คิด ได้แก่
- ผ้าเบรกไหม้ เกิดจากการขับรถด้วยความเร็ว และ หรือในบางกรณี อาจจะเกิดจากการขับลงทางลาดชัน แล้วใช้เบรก จนถึงค่าความร้อนสูงสุดที่รับได้ ทำให้เนื้อผ้าเบรก ไม่สามารถทำงานมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
- ผ้าเบรกมีเสียงดัง โดยส่วนใหญ่อาจเกิดจากการมีเศษหิน หรือฝุ่นเข้าไปติด แต่ถ้า คุณละเลยในเสียงเหล่านั้น อาจะมีผลทำให้ ผ้าเบรกจับหน้าจานไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าเบรก
- อาการ ผ้าเบรกตาย คือ อาการที่กดเบรกแล้ว รู้สึกทื่อ ไม่สามารถสร้างแรงเสียดทานได้เหมือนเดิม อาจจะพบเจอได้น้อยมาก มักเกิดกับ ผ้าเบรกที่มีอายุนาน หรือ รถที่ไม่ค่อยได้ใช้เบรก ในการขับขี่ หรือ สายจอดทั้งหลาย
ผ้าเบรก กับรถยนต์ไฟฟ้า และ รถไฮบริด
ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้า และ รถไฮบริด เริ่มได้รับความสนใจจากคนส่วนใหญ่ ในการซื้อหามาใช้ รถเหล่านี้จะมีระบบช่วยในการชะลอความเร็ว ที่เรียกว่า regenerative Braking
ระบบนี้ ดั้งเดิมถูกออกแบบให้ ใช้งานเพื่อชะลอความเร็วแล้ว นำพลังงานที่เหลือจากการหมุนล้อ มาแปลงเป็นพลังงานขับเคลื่อน ในรูปแบบไฟฟ้า ป้อนกลับเข้าสู่แบตเตอร์รี่
เป็นที่ยอมรับ กันอย่างกว้างขวางว่า ระบบนี้ มีส่วนช่วยการใช้เบรกในระหว่างการขับขี่ และ อาจช่วยยืดอายุผ้าเบรก ให้เปลี่ยนช้าลง กว่ารถสันดาปทั่วไป จนคนใช้บางคน บางกลุ่ม เข้าใจว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เบรกเลย ในการหยุดรถ แถมรถยุคใหม่ บางรุ่น ยังออกแบบระบบ ให้แรงหน่วงมอเตอร์ใช้ได้จนถึงหยุดนิ่ง
แต่เนื่องจากผ้าเบรกเป็นชิ้นส่วนสร้างแรงเสียดทาน จะทำงานได้ดี เมื่อหน้าสัมผัสสะอาด และมีความร้อนบ้าง ยังเป็นที่กังขาและพูดคุยกันในท่ามกลางผู้เชี่ยวชาญว่า การใช้เบรกรีเจน มากเกินไปของผู้ใช้ จะส่งผลประสิทธิภาพของผ้าเบรกหรือไม่
ในระยะหลังรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฮบริดหลายรุ่น จึงยกเลิกการทำให้รถสามารถไหลชะลอความเร็วไปจนหยุดนิด เพื่อให้ผู้ใช้ได้ใช้ผ้าเบรกบ้าง บางแบรนด์ใช้วิธีการเปิดระบบออโต้ให้ระบบเบรกจับจานเอง เมื่อผู้ใช้อยากชะลอความเร็วจนหยุด เพื่อให้ผ้าเบรกได้ทำงานบ้าง
อย่างไรก็ดี , มีข้อมูลจากต่างประเทศ ระบุว่า ผู้ผลิตบางราย เริ่มมีมาตรการกับรถยนต์ที่มีระบบรีเจน ให้ต้องเปลี่ยนผ้าเบรก ทุก 5 ปี ไม่ว่า คุณจะใช้หมดหรือไม่ เนื่องจากตัวผ้าอาจจะเสื่อมสภาพได้
ทางเราได้สอบถามเรื่องนี้กับ ทางศูนย์บริการ และผู้ผลิตบางราย แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดว่า มาตรการลักษณะเดียวกัน จะถูกมาบังคับใช้กับประเทศไทยหรือไม่
(สามารถอ่านเรื่องราวของ Regenerative Braking ได้ที่นี่ )
เปลี่ยนเบรก ต้องเปลี่ยนจานเบรก ด้วยหรือ
แม้ว่า จะฟังแล้วเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ และหลายคนอาจแย้งว่า นี่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เรื่องนี้ผู้เขียนเคยได้ยิน มาจาก ผู้เชี่ยวชาญของแบรนด์ระบบเบรก TRW ที่เคยมาพูดสัมมนาในไทย
เขาแนะนำว่า ในระบบดิสก์เบรก เวลาเปลี่ยนผ้าเบรก ควรเปลี่ยนชุดจานเบรก ไปด้วยพร้อมกัน และในรถยนต์หรูบางแบรนด์ ก็แนะนำเช่นนี้กับลูกค้า เมื่อจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรก
สาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก แนะนำแบบนี้ เนื่องจากผ้าเบรกและจานเบรก ทั้งสองเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยกันเสอม เวลาใช้งาน
เมื่อใช้งานไปเป็นระยะเวลานาน ผ้าเบรกจะเหลาจานเบรก ให้บางลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ การทำงานไม่ดีเหมือนเดิม หรือที่ช่างอาจจะเรียกว่า จานเบรกบาง ทำให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนในระหว่างการเบรกลดลง
ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญ จึงบอกว่า เปลี่ยนผ้าเบรก ต้องเปลี่ยนจานเบรก ไปพร้อมกัน เพราะมันเป็นของคู่กัน
คุณๆ อาจจะถามว่า แล้วไม่เปลี่ยนจานเบรกได้ไหม เราแค่เปลี่ยนเฉพาะผ้าเบรกได้หรือเปล่า
ตอบว่า ได้ครับ ถ้าจานเบรกยังมีความหนาอยู่ เพียงแค่ต้องไปล้างหน้าสัมผัสจานเบรก หรือที่เราเรียกว่า “เจียร์จาน” ซึ่งก็จะทำให้จานบางลงไปอีกนิดหน่อย แต่ได้จานหน้าสัมผัสเรียบ และพร้อมสำหรับผ้าเบรกชุดใหม่
แต่ถ้าเปลี่ยนจานใหม่ ผ้าใหม่ ก็สามารถติดตั้งได้เลย สะดวกง่ายและได้ประสิทธิภาพดีที่สุดครับ
มาถึงตรง นี้เพื่อน ๆ คงเห็นแล้วว่า ผ้าเบรก เป็นปราการด่านสำคัญของความปลอดภัยพื้นฐานแม้ว่ารถบางแบบ อาจจะมีตัวช่วยชะลอความเร็ว ทำงานได้ดี จนรู้สึกว่า เบรกนั้นไม่จำเป็นด้วยซ้ำไป แต่ ผ้าเบรกก็ยังทำหน้าที่สำคัญ คือ การสร้างแรงเสียดทาน เพื่อลดความเร็วหรือ หยุดรถ เป็นนายทวารทางด้านความปลอดภัย
การดูแลผ้าเบรก เป็นเรื่อง สำคัญและไม่ควรมองข้าม ไม่ว่า คุณจะเป็นคนขับรถแบบไหน สุดท้ายก็ต้องใช้ เบรกในการหยุดรถครับ
ข้อมูลประกอบบางส่วน Chapelhilltire
บทความนี้ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้องค์ความรู้ของ Ridebuster.com ห้ามนำไปเผยแพร่ทำซ้ำในช่องทางอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต