ทุกวัน ที่เติ่มน้ำมันเข้าถังรถ คุณรู้ไหมว่า สิ่งที่สำคัญมากกว่า การเลือกน้ำมันที่ถูกต้องตามประเภทเครื่องยนต์ที่เราใช้แล้ว เรื่องของ ค่าออกเทน ในน้ำมัน ยังเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน
ค่าออกเทน อาจจะฟังดู เป็นเรื่องโบราณคร่ำครึ สำหรับหลายคน หากมันก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากในการใช้รถในประจำวันของทุกคน หลายคนอาจะเคยได้ยืนได้ฟังเกี่ยวกับพวกมัน ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่า มันคืออะไร สำคัญอย่างไร ทำไมตามปั้มต้องกำกับไว้ด้วยให้คนทราบ
เรื่องนี้ สำหรับคนที่ใช้รถดีเซล อาจจะไม่ต้องกังวล เพระา หลักการจุดระเบิดให้กำลังเครื่องยนต์นั้นต่างกัน หากใครที่ขับรถยนต์เครื่องเบนซิน ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก ออกเทน มีความสำคัญกับเครื่องยนต์ จนบางครั้ง เติมผิดชีวิตเปลี่ยน ก็เจอมาแล้ว
ออกเทน คืออะไร
ตามข้อมูลทางด้านวิศวกรรมพลังงาน ค่าออกเทน คือ ค่าการทนความร้อนไม่ให้น้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจุดระเบิดง่ายเกินไป ในระหว่างการทำงานของเครื่องยนต์ หรือ ที่หลายคนอาจจะพอเคยได้ยินว่า “ชิงจุดระเบิด” นั่นเอง
น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนต่ำ จะชิงจุดระเบิดได้ง่ายกว่า น้ำมันที่มีค่าออกเทนสูง ซึ่งอาจเป็นที่ต้องการของเครื่องยนต์ บางประเภท โดยเฉพาะ เครื่องยนต์เทอร์โบ หรือเครื่องยนต์ใหม่ๆ ที่ต้องการให้ ส่วนผสมน้ำมันอากาศ คลุกเคล้าในห้องเผาไหม้ได้ที่ ก่อนชุดระเบิดด้วยหัวเทียน
ในกรณีที่ น้ำมันชิงจุดระเบิดก่อน ช่วงเวลาที่ถูกเซทไว้ จะทำให้ เครื่องยนต์ทำงานผิดจังหวะ ในกรณีร้ายที่สุด อาจจะทำให้ เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายในการใช้งาน
แล้วสังเกตตรงไหน
หลายคนที่เพิ่งหันมาขับรถ อาจจะสงสัยว่า แล้ว ค่าออกเทน สังเกตยังไง จริงๆ แล้วในอดีต ค่าออกเทน ถูกระบุในทุกหัวจ่ายน้ำมัน โดยแบ่งตามประเภทน้ำมันที่เสนอขาย เช่น เบนซิน 95 , เบนซิน 91
ปัจจุบัน การนำเสนอ น้ำมันประเภทผสมเอทานอล หรือ แก๊สโซฮอลล์ ทำให้ น้ำมัน บางชนิด เริ่มเรียก ตามค่าการผสมเอทานอล เพื่อสร้างความเข้าใจง่ายแก่ผู้ขับขี่ และเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า ที่ผู้ขับขี่ควรรับทราบ
หากความจริงแล้ว ก็ควรกำกับ ค่าออกเทนไว้ด้วย เนื่องจากมีความสำคัญกับเครื่องยนต์ ปัจจุบัน ภาครัฐบาล และ บริษัทน้ำมัน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เท่าไรนัก ทำให้แนวทางปฏบัติ เรื่องค่าออกเทน ในน้ำมันแก๊ส โซฮอลล์ มีความคลุมเคลือ
ยกตัวอย่างเช่น มีรายงานว่า น้ำมัน แก๊สโซฮอล ประเภท ผสม เอทานอล ร้อยละ 20 หรือ E20 มีค่าออกเทน 98 ในการทดสอบ ช่วงเริ่มขายช่วงแรก ซึ่งก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่า แท้ที่จริงมันค่าดังกล่าว จริง ไหม เนื่องจากปั้มไม่กล้ากำกับไว้ ที่หัวจ่าย
โดยค่า ออกเทน นั้น จะแบ่งเป็น 2 แบบ ขึ้นอยู่กับ คือ
- ROn – Research Octane Number เป็นการทดสอบกับเครื่องยนต์ทดสอบ ที่สามารถเปลี่ยนกำลังอัดได้ ตามค่าที่การควบคุมอย่างดี (ทดสอบในแล็ป) แล้วบันทึกผลออกมา นิยมใช้ในหลายประเทศรวมถึงไทย
- Mon – Motoring Octane Number ใช้หลักการทดสอบที่คล้ายกับ ใน รูปแบบแรก แต่มีการทำให้ น้ำมันที่ทดสอบถูกความร้อน ขยายตัว และ มีการเดินรอบเครื่องที่สูงกว่า จาก 600 รอบต่อนาที เป็น 900 รอบต่อนาที รวมถึง ปรับจังหวะจุดระเบิดให้มีความหลากหลาย แล้ว ทำการวัดผล
แล้วเติมออกเทนเท่าไรดี รถเรา
มาถึงตรงนี้ มั่นใจว่า หลายคน คงพอเข้าใจค่าออกเทนแล้ว แต่ คำถามที่มักจะได้รับ จากหลายคน คือ แล้วรถของเราควรเติมค่าออกเทนเท่าไรดี
ทั้งหมดนั้นอยู่ที่ ข้อกำหนด จากผู้ผลิตรถยนต์ที่เราใช้ โดยดูได้จ่าย คู่มือ ประจำรถ หรือ อาจจะเปิดดูที่ฝาถังน้ำมัน ก็ได้ จะมีการบอก ประเภท น้ำมันที่สมควรจะเติมใช้ในรถคันดังกล่าว ว่า ควรเติมน้ำมันอะไร
เราเพียงต้องเลือกเติมให้เหมาะสม กับที่เครื่องยนต์รองรับ ก็เท่านั้นเอง
เติมออกเทนสูง เขาว่า ทำให้รถแรงขึ้น .. จริงไหม
เรื่องนี้ ต้องตอบว่าเป็นความจริง สำหรับรถบางประเภท ที่มีการออกแบบเครื่องให้ สามารถใช้ประโยชน์จาก ออกเทนน้ำมัน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องยนต์กำลังอัดสูง , เครื่องยนต์เทอร์โบ เป็นต้น
ตามหลักการจุดระเบิด เครื่องยนต์ จะมีระยะเวล่ที่แน่นอน ปัจจุบันด้วยความทันสมัยของเครื่องยนตื ที่มีการตรวจจับ ค่าการจุดระเบิด ทำให้เครื่องยนต์หลายรุ่นสามารถปรับเวลาการจุดระเบิดได้ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องยนต์ โดยดูจากน้ำมันที่ใช้ในเวลานั้น
อาทิ คุณเติม น้ำมัน E20 เครื่องยนต์ ก็จะเซท การจุดระเบิด อย่าง , คุณใช้ แก๊ส โซฮอลล์ 95 หรือ วันนั้น เติมเบนซิน 95 ก็จะเซทคนละอย่าง จึงไม่แปลกที่การตอบสนอง คันเร่ง เวลาเติมน้ำมันแต่ละประเภท จะมีความแตกต่างกัน ในเบื้องต้น ซึ่งแม้แต่รถธรรมดา ก็ยังรู้สึกได้
แต่กรณีที่เครื่องยนต์ ออกแบบมารองรับอย่างเครื่องเทอร์โบ การปรับช่วงเวลาจุดระเบิด จะทำให้เครื่องยนต์ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Ford Ranger Raptor ใหม่ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 เทอร์โบคู่ นั้น ถ้า คุณอยากได้ กำลังตามที่เคลมในโบร์ชัวร์ เป๊ะๆ ต้องเติมน้ำมันที่มีค่าออกเทน 98 จึงจะได้ กำลังสูงสุด 392 แรงมา้ แรงบิดสูงสุด 583 นิวตันเมตร
ในกรณีที่ไม่ได้ใช้น้ำมันดังกล่าว ไม่ต้องแปลกใจถ้าไปวัดแล้ว กำลังแรงม้าจะตกลงไปมากจากที่เคลม เนื่องจ่กมีเงื่อนไข ในการทำกำลังขับดีที่สุด นั่นเอง
เรื่องทำนองเดียวกัน เกิดกับรถ สปอร์ตสมรรถนะสูง ,รถเครื่องเทอร์โบทุกรุ่น ยิ่งค่าออกเทนเยอะ ยิ่งทำให้เครื่องยนต์เปี่ยมประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่กับเราๆ ท่านๆ ที่ใช้รถธรรมดาๆ ไม่ได้ต้องซิ่งกับใคร เติมน้ำมันเท่าที่เหมาะสมกับเงินในกระเป๋าของเรา และ รถรองรับก็เพียงพอ
เติมออกเทนสูง แล้ว รถประหยัดกว่า
เรื่องนี้ต้องตอบว่าจริง เพราะ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีกำลังขับมากขึ้น สิง่ที่ตามมา คือ เราจะไม่เค้นเครื่องยนต์เท่าเดิม พฤติกรรมการขับขี่ของเราจะเปลี่ยนไป
แม้ว่า เพียงเล็กน้อย ที่คุณเหยียบคันเร่งน้อยลง ก็หมายความถึง อัตราประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น ตามไปด้วย อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่เพียงเท่านี้ เครื่องยนต์เองก็ปรับลดการจ่ายน้ำมัน ต่อรอบ ให้ส่วนผสมถูกต้องการที่วิศวกรได้เซทค่าการทำงานเอาไว้ด้วย จึงไม่น่าแปลกที่บางครั้ง คุณจะพบว่า น้ำมันออกเทนสูง ค่อนข้างประหยัด เช่น คุณเติมระหว่าง เบนซฺน 95 และ 91
อย่างไรก็ดี ,น้ำมัน ออกเทนสูง จะถูกวางให้มีราคาสูงกว่า และ เปรียบเสทอนสินค้าพรีเมียม ดังนั้น ถ้ารถเราไม่ได้ต้องการออกเทนสูง เติมเท่าที่เหมาะสม กับรถ ดีที่สุดครับ
ในภาพรวม ค่าออกเทน ก็เป็นเพียงค่าทนความร้อนในน้ำมันเท่านั้น แต่ที่คนส่วนใหญ่สนใจ เพราะมันมีประเด็นเกี่ยวกับเครื่องยนต์ ซึ่งบางคน อาจจะต้องการทางลัดความแรง ทั้งที่ อย่าลืมว่า ข้อจำกัดของสมรรถนะเครื่องยนต์ ทั้งหมด อยู่ที่การปรับจูนจากวิศวกร นั่นเอง
ข้อมูลบางส่วนจาก Wikipedia