ปลายปีแบบนี้เชื่อว่าหลายคนกำลังมีแพลนซื้อรถใหม่ โดยถ้าใครกำลังมองหารถในกลุ่ม C-Segment วันนี้เราจับรถเครื่องเบนซิน 1.8-2.0 ลิตร มาให้ท่านได้เปรียบเทียบ
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด กลุ่มรถยนต์นั่งขนาด C-Segment ก็ยังคงมียอดขายเดินหน้าอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าอาจมีการแย่งชิงส่วนแบ่งจากรถกลุ่มอื่น อาทิ รถกระบะ ไปจนถึงรถเอสยูวีหลายรุ่นหลากยี่ห้อที่พาเหรดกันเปิดตัว โดยในวันนี้เราได้นำรถซีดาน 3 คัน ที่ใช้เครื่องเบนซิน 1.8-2.0 ลิตร ซึ่งเรามองว่ามีความคุ้มค่าน่าซื้อใช้งาน ซึ่งจะมีคันไหนบ้างนั้นลองตามมาดู
1. Honda Civic 1.8 EL ราคา 964,000 บาท
ไม่มีใครไม่รู้จักฮอนด้า ซีวิค รถซีดาน 4 ประตู คันที่ใครที่คิดจะซื้อรถขนาด C-Segment จะต้องโผล่ขึ้นมาอยู่ในลำดับๆ ต้นๆ ด้วยชื่อเสียงเรื่องคุณภาพที่มีมายาวนานสืบทอดมาหลายเจนเนเรชั่น โดยรถคันที่เราจะมาแนะนำวันนี้ขอยกให้กับ Honda Civic 1.8 EL ราคา 964,000 บาท
ถามว่าทำไมเราถึงไม่เลือกรุ่นเริ่มต้นราคา 874,000 บาท หรือกระโดดข้ามไปหาหารุ่นเครื่องเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร พลังแรงบวกราคาทะลุล้านบาท เหตุก็เพราะคนซื้อรถกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ต้องการรถซีดานที่มีรูปลักษณ์ต้องตาในราคาต้องใจ ไม่ได้ถูกเกินไปจนคนที่ใช้ดูไม่มีเงิน ครั้นแพงทะลุหลักล้านก็เหนื่อยต่อการผ่อนชำระรายเดือน
ในเรื่องข้าวของบนรุ่น 1.8 EL นั้น จัดได้ว่าครบถ้วนพอกับการใช้งาน เริ่มจากภายนอกมีอุปกรณ์ดังนี้
- ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ฮาโลเจน
- ไฟท้ายแอลอีดี
- ระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- ไฟตัดหมอก
- กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าและพับเก็บอัตโนมัติ
- ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
- ล้ออัลลอย 16 นิ้ว 10 ก้าน สีเทาเมทัลลิก
ภายในห้องโดยสารก็ได้อุปกรณ์ที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสริมความสบาย ไปจนถึงความบันเทิง
- เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- เบาะหนังแท้และวัสดุสังเคราะห์ พร้อมพวงมาลัยหุ้มหนัง
- วัสดุตกแต่งคอนโซลแบบ Piano Black
- ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท
- กุญแจแบบ Keyless Entry พร้อมปุ่ม Start-Stop
- หน้าจอสี TFT ขนาด
- เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ
- เครื่องเสียงกับจอสัมผัส 7 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple CarPlay กับ Android Auto ได้
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมปุ่มคุมเครื่องเสียง รับและวางสายโทรศัพท์
- รองรับการสั่งการด้วยเสียง Siri และต่อบลูทูธเข้ากับโทรศัพท์
- ช่อง USB จำนวน 2 ตำแหน่ง
- ลำโพง 8 ตัว
ประเด็นความปลอดภัย Civic 1.8 EL ถือว่ามีอุปกรณ์จำเป็นสำหรับรถยุคใหม่อยู่หลายสิ่ง อาทิ
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
- ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Brake Hold
- ระบบแสดงภาพในมุมอับขนะเปลี่ยนเลน Honda Lanewatch
- กล้องมองหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ
- สัญญานไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกระทันหัน ESS
- ถุงลมคู่หน้า ถุงลมด้านข้างคู่หน้า และม่านถุงลมด้านข้าง
- ระบบล็อครถอัตโนมัติเมื่อเดินออกห่างจากตัวรถ
- ระบบเบรก ABS, EBD ระบบควบคุมการทรงตัวและลื่นไถล
เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร SOHC 4 สูบเรียง ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 174 นิวตันเมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ CVT เรี่ยวแรงถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ราว 11-12 วินาที วิ่งนอกเมืองกินน้ำมันเฉลี่ย 15 กม./ลิตร ขึ้นไป
2. Mazda 3 2.0 C ราคา 969,000 บาท
ใครเป็นนักขับรถสายโหดชอบเล่นโค้ง หรือมุดลัดเลาะไปตามจังหวะจราจร รวมถึงเป็นคนที่ชอบรถสวยหรูจบจากโรงงานไม่เอาไปแต่งเพิ่ม แบรนด์มาสด้าจะต้องเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของผู้ชื่นชอบการขับรถเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งอย่าง Mazda 3 2.0 C รุ่นเริ่มต้น ที่จัดว่ามีทุกสิ่งซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต้องการจากรถขนาด C-Segment หนึ่งคัน
ถามว่าทำไมเราถึงกล่าวว่ารุ่น 2.0 C ของเจ้าสามเป็นรุ่นที่น่าสนใจซื้อมาใช้งาน เหตุผลหลักๆ เลยก็มาจากอุปกรณ์มาตรฐานติดรถที่จัดว่าเลือกได้ดี แม้จะมีบางอย่างที่อาจขัดใจลูกค้าที่ชอบความหรูหราไปบ้าง อย่างไฟส่องสว่างเวลากลางวันที่เป็นหลอดฮาโลเจนสีเหลือง หรือการที่ไม่มีเซนเซอร์ถอยหลังกับกล้องถอยหลัง แต่อุปกรณ์สำคัญอย่างอื่นจัดว่าไม่น้อยใคร ไล่เรียงรายการได้ดังนี้
อุปกรณ์ภายนอกไม่ได้ตกแต่งเต็มอย่างรุ่นท็อป แต่ก็จัดว่ามีฟีเจอร์เด่นครบถ้วน อาทิ
- ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED ไฟท้าย LED
- ระบบไฟหน้าปรับสูงต่ำอัตโนมัติ พร้อมระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ปรับไฟฟ้า และพับอัตโนมัติ
- กล้องมองข้างปรับมุมต่ำอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
- ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อมระบบหน่วงเวลา
- กระจกไฟฟ้า ปรับขึ้นลงอัตโนมัติ 4 บาน
- ล้ออัลลอย 16 นิ้ว 10 ก้าน สีเงิน
ห้องโดยสารภายในจัดเต็มเหมือนกับรุ่นท็อปสุด วัสดุตกแต่งตามแดชบอร์ดกับแผงประตูมีสัมผัสนุ่ม พร้อมอุปกรณ์ อาทิ
- เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบจดจำตำแหน่ง 2 แบบ
- หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้า
- จอแสดงผลหน้าผู้ขับขี่แบบสี TFT LCD
- หน้าจอกลางแบบไวด์สกรีนขนาด 8.8 นิ้ว รอบรับระบบ Apple CarPlay กับ Android Auto
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมปุ่มคุมเครื่องเสียง รับและวางสายโทรศัพท์
- ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านทางบลูทูธ
- ลำโพง 8 ตำแหน่ง
แง่ของความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก มีการใส่มาให้เยอะพอสมควรแม้ว่าจะเป็นแค่รุ่นย่อยเริ่มต้น
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
- ระบบแจ้งเตือนรถในมุมอับขณะเปลี่ยนเลน
- ระบบแจ้งเตือนรถในมุมอับขณะถอยหลัง
- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งรอบคัน
- ระบบกุญแจ Keyless Entry และปุ่มสตาร์ท
- ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกระทันหัน ESS
- ระบบเบรก ABS, EBD ระบบควบคุมการทรงตัวและลื่นไถล
- เบรกมือไฟฟ้า พร้อมแบบ Auto Hold
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบเรียง ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 213 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้พละกำลังมาอันดับหนึ่งในตลาด C-Segment อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ราว 10 วินาที วิ่งนอกเมืองกินน้ำมันเฉลี่ย 14 กม./ลิตร ขึ้นไป
3. Toyota Corolla Altis GR Sport ราคา 999,000 บาท
ลำดับสุดท้ายเป็นของ Toyota Corolla Altis GR Sport ที่เป็นเพียงรุ่นย่อยเดียว ซึ่งมาพร้อมขุมพลังเบนซิน 1.8 ลิตร ด้วยราคาจำหน่ายจ่ายล้านบาทถอนหนึ่งพันอาจดูราคาแรง แต่เรื่องรูปลักษณ์ทรงสปอร์ตของแต่งเต็มคัน กับประสิทธิภาพในการขับขี่ก็จัดว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่แข่งเท่าไหร่
เหตุผลที่ทำให้เรานำมันมาใส่ในตัวเลือก C-segment รุ่นน่าสนใจ แทนที่จะนำตัวเลือกเครื่องเบนซินไฮบริด 1.8 ลิตร ที่มีมากถึง 3 รุ่นย่อย ก็เพราะลูกค้าหลายคนยังไม่กล้าพอจะใช้งานขุมพลังรักษ์โลก กอปรกับรูปโฉมภายนอกหากไม่ใช่ไฮบริดตัวท็อป ความหล่อเหลายังจัดว่าไม่มากพอที่จะดึงดูดสายตาผู้พบเห็น ดังนั้น ตัวเลือก GR Sport จึงน่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้รถอารมณ์สปอร์ตแต่มีความทนทานตามสไตล์โตโยต้ามาใช้งาน
สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานภายนอกในเรื่องความสวยงามนั้น GR Sport มีให้มากกว่าใคร อาทิ
- ไฟหน้า LED ไฟท้าย LED
- ไฟตัดหมอก LED
- ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED
- ระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมปรับระดับไฟสูงต่ำ
- กระจกบังลมหน้าแบบกันเสียงรบกวน
- ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ลายสปอร์ตสีทูโทน
- สเกิร์ตหน้า / สเกิร์ตข้าง / สเกิร์ตหลัง / สปอยเลอร์หลัง
- กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ปรับไฟฟ้า และพับอัตโนมัติ
- กล้องมองข้างปรับมุมต่ำอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
ห้องโดยสารภายในมีการตกแต่งสไตล์สปอร์ตเช่นเดียวกับภายนอก โดยมีอุปกรณ์ดังนี้
- เบาะคนขับปรับไฟฟ้า พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า
- หน้าจอแสดงผลผู้ขับขี่ MID ขนาด 4.2 นิ้ว
- จอสัมผัส 8 นิ้ว รองรับ Bluetooth / USB พร้อม Apple CarPlay และลำโพง 6 จุด
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมปุ่มคุมเครื่องเสียง รับและวางสายโทรศัพท์
- วัสดุตกแต่งภายในเปียโนแบล็ค / สีแดง
- เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ
- หน้าต่างไฟฟ้า พร้อมระบบ Jam-protection ทั้ง 4 บาน
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน
- กุญแจ Keyless Entry พร้อมปุ่มกดสตาร์ท
- แป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift
ท้ายสุดกับประเด็นความปลอดภัย Altis GR Sport มีครบถ้วนใกล้เคียงกับคู่แข่งทั้งสอง ได้แก่
- กล้องมองหลัง
- เซนเซอร์ถอยหลัง
- ระบบแจ้งเตือนรถในมุมอับขณะเปลี่ยนเลน
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ
- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งรอบคัน
- ระบบเบรก ABS, EBD ระบบควบคุมการทรงตัวและลื่นไถล
- สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน EBS
เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร DOHC 4 สูบเรียง ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 177 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้พละกำลังมาอันดับหนึ่งในตลาด C-Segment อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ราว 11-12 วินาที วิ่งนอกเมืองกินน้ำมันเฉลี่ย 15 กม./ลิตร ขึ้นไป
ทั้งสามคันนี้มีอุปกรณ์ใกล้เคียงกัน บางคันมีข้าวของต่างกันออกไปนิดหน่อย เช่น Mazda 2.0 C ให้เครื่องปรับอากาศแบบแมนนวล คู่แข่งให้แบบอัตโนมัติ หรือ Civic 1.8 EL ให้ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ฮาโลเจน คู่แข่งให้แบบ LED มาแล้ว และ Altis GR Sport ขาดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แต่คู่แข่งอีกสองคันมี
เอาเป็นว่าใครที่กำลังสนใจรถยนต์นั่ง C-Segment ทั้งสามคันนี้อยู่ เราแนะนำให้ลองไปสัมผัสคันจริง เพื่อดูว่าคุณและครอบครัวชอบสเป็ครถคันไหน และเห็นพ้องต้องกันว่าคันใดควรมารับหน้าที่ใช้งานทุกคนในบ้าน
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com