ทุกวันนี้ การซื้อรถยนต์ของคนไทยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80-90 โดยมากจะใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จากบรรดาธนาคาร สถาบันการเงินต่างๆ ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากการเช่าซื้อปกติ ยังมีลูกเล่นทางการเงินใหม่ เรียกว่ าการผ่อนแบบบอลลูน
หลายคนให้ความสนใจกับการผ่อนแบบใหม่ บางคนว่าได้ไม่คุ้มเสีย วันนี้เพื่อให้เข้าใจอย่างกระจ่างชัด เราจะมาดูระบบระเบียบการผ่อนลักษณะนี้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร
การผ่อนบอลลูน คืออะไร
การผ่อนแบบบอลลูน แรกเริ่มเดิมทีนิยมในกลุ่มสินค้าประเภท อสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมีมุลค่าสูงและมีมุลค่าเพิ่ม จนกระทั่งในระยะหลังสถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มนำวิธีการนี้มาใช้กับการซื้อรถยนต์ เนื่องจากทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายกอปกับ การเช่าซื้อจากบริษัทหรือนิติบุคคล มักมีการเปลี่ยนแปลงรถให้ใหม่อยู่เรื่อยๆ จึงทำให้ระบบนี้แรกเริ่มนิยมใช้กับกล่มรถยนต์หรูราคาแพง อาทิรถนำเข้า หรือ รถยนต์ไฮเอนด์พรีเมี่ยม ก่อนจะมานิยมในกลุ่มรถยนต์ตลาดปกติทั่วไป อาทิ โปรโมชั่น สบายดี ของทางโตโยต้า
หลักการผ่อนแบบบอลลูนนั้น จะแบ่งมูลค่าสินค้า (รถคันนั้น) ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ
1. ส่วนเงินดาวน์ คือ เงินรับประกันความสามารถในการชำระสินค้าในเบื้องต้นแก่สถาบันการเงิน คล้ายกับระบบการผ่อนปกติทั่วไป
2.เงินบอลลูน คือ เงินที่ทางบริษัทการเงินหักออกไปส่วนหนึ่ง เป็นยอดใหญ่ที่เราต้องชำระเมื่อถึงในเวลาที่กำหนด โดยส่วนใหญ่ จะหักในอัตรา 40-50% ของราคาสินค้า ณ วันที่เช่าซื้อ โดยยอดนี้จะต้องชำระเมื่อครบสัญญาและต้องการเป็นเจ้าของสินค้าดังกล่าว
3.เงินผ่อนชำระรายงวด คือเงินผ่อนชำระค่างวดตามปกติ คล้ายกับการผ่อนสินค้าอื่นๆทั่วไป โดยคำนวนจากการหักเงินดาวน์และเงินบอลลลูน หารด้วยจำนวนงวดตามสัญญาที่ตกลง
ด้วยการหักเงินดาวน์และเงินบอลลูนออกไป ทำให้ค่างวดผ่อนชำระในแต่ละเดือนของการผ่อนแบบบอลลูน ถูกกว่า การผ่อนชำระปกติ ยกตัวอย่างเช่น รถ Toyota Corolla Altis Hybrid Entry ราคา 939,000 บาท
ถ้าสมมุติคำนวนการผ่อนปกติ โดยดอกเบี้ยตลอดสัญญาอยู่ที่ 2.5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 60 เดือน ก็จะออกมาดังนี้
เงินดาวน์ 20% = 187,8000 บาท
ยอดจัดจริง = 751,200 บาท
ดอกเบี้ยรายปี 18,780 บาท ต่อ ปี รวม 5 ปี (60 เดือน) = 93,900 บาท
รวมยอดต้องผ่อนชำระทั้งหมด 845,100 บาท เฉลี่ยค่างวด 14,085 บาท
กลับกันกรณีบอลลูน ในจำนวนปีที่เท่ากัน
เงินดาวน์ 20% = 187,8000 บาท
ยอดสินเชื่อคงเหลือ= 751,200 บาท
ยอดบอลลูน สมมุติหัก 53% ของยอดสินเชื่อคงเหลือ = 398,186 บาท (ยกเป็นงวดที่ 59)
ยอดเหลือผ่อนชำระรายงวด = 353,104 บาท
สมมุติ ดอกเบี้ยบอลลูนคิดที่ (6% ต่อปี ) =21,180 บาท ต่อปี ระยะ 5 ปี = 105,904 บาท
ค่างวดเท่ากับ 7,650 บาท ต่องวด (1-59) และงวดที่ 60 จ่าย 398,186 บาท เพื่อรับกรรมสิทธิเป็นเจ้าของ
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า การผ่อนชำระแบบบอลลูน มีข้อดีในเรื่องค่างวดชำระต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง จากการผ่อนชำระแบบปกติทั่วไป ซึ่งหากมองให้ดีการผ่อนแบบบอลลูน ที่หลายคนกลัวนักกลัวหนา ก็มีข้อดีเช่นกัน คือ
1.เป็นการการันตีมูลค่าสินค้าในอนาคต จึงเหมาะ กับ สินค้าที่มีมูลค่าสุง อาทิ อสังหาริมทรัพย์หรือรถยนต์หรูราคาแพง ว่าจะมีราคาขายตามที่สถาบันกำหยด มีมูลค่ารับซื้อแน่นอน
2.การผ่อนชำระต่ำ ทำให้ภาระหนี้น้อยกว่าการเช่าซื้อปกติทั่วไป
3.สามารถตัดสินใจภายหลังได้ว่าจะเป็นเจ้าของสินค้านั้นต่อหรือไม่ ได้ในอนาคต
อย่างไรก็ดี จะเห็นว่า การผ่อนแบบบอลลูน นั้นมีข้อเสียสำคัญคือ
1.ไม่ได้เป็นเจ้าของทันทีหลังหมดงวดชำระปกติ ต้องชำระงวดบอลลูน
2.งวดบอลลูนมีมูลค่าหนี้สูงพิเศษ
3.ดอกเบี้ยบอลลูนจะสูงกว่าการผ่อนชำระปกติเสมอ (อาจสูงกว่าการยกตัวอย่างของทางเรา)
4.ไม่สามารถปิดก่อนการชำระหมดตามสัญญาได้ หรือถ้าได้ ก็อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ถึงแม้นว่าบอลลูนจะดุมีข้อเสียไม่น้อยเมื่อเทียบกับการผ่อนชำระปกติธรรมดาทั่วไป ทว่าการผ่อนแบบนี้ปัจจุบันก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดย
1.ค่างวดบอลลูนก้อนสุดท้าย สามารถทำเป็นการแบ่งผ่อนชำระได้ตามตกลงกับสถาบันการเงิน (ดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นข้อตกลงของสถาบันการเงินนั้นๆ )
2.เทิร์นรถคันใหม่ออกมาขับหลังจากถึงงวดบอลลูน โดยนำส่วนต่างมาเป็นค่างวดเงินดาวน์ คันใหม่ ส่งผลให้ เรามีรถใช้ใหม่ๆ เสมอ
ปัจจุบันการทำเช่าซื้อแบบบอลูน ได้รับความนิยมมากในหมู่รถหรู เนื่องจาก
1.รถมีราคาแพง มูลค่าสูง (พอๆกับ อสังหาริมทรัพย์)
2.รถเหล่านี้หลายยี่ห้อมีอายุการใช้งานที่ชัดเจน ไม่ได้ออกแบบให้ใช้งานคงทนตลอดกาล
3.การเช่าซื้อลักษณะนี้เหมาะสำหรับการซื้อในลักษณะรูปแบบบริษัท (นิติบุคคล) เนื่องจากสามารถนำไปทำเรื่องในลักษณะเช่ารถ ซึ่งได้รับการลดหย่อนทางภาษี (โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม)
การเช่าซื้อแบบบอลลูน ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ต้องยอมรับว่ามันอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนที่ต้องการมีรถ การเช่าซื้อแบบนี้มีข้อดีก้มาก และก็มีข้อเสียเช่นกัน เราควรตัดสินใจให้ดีว่าการเช่าซื้อแบบไหน เหมาะกับเราที่สุด