นับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา Honda CB500X ถือเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายมากที่สุดในกลุ่ม Honda 500 Series แต่ตอนนี้ มันกลับถูกเปลี่ยนโฉมใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น 2024 Honda NX500
2024 Honda NX500 คือชื่อใหม่ของ Honda CB500X ที่แม้ว่ามันจะพึ่งถูกปรับโฉมเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 4 ไปเพียงไม่นาน แถมยังมาพร้อมกับออพชันที่น่าสนใจ คุ้มค่ากว่าใครเพื่อน แต่ด้วยการแข่งขันทางการตลาดที่สูง จึงทำให้ทาง Honda ตัดสินใจปรับโฉมมันใหม่อีกครั้ง โดยคราวนี้ไม่ได้เปลี่ยนแค่ชื่อใหม่ แต่ยังมาพร้อมกับออพชันใหม่ๆที่ทำให้มันยิ่งน่าสนใจกว่าเดิมขึ้นไปอีกขั้น
ก่อนอื่น ชื่อรหัส NX ของมันในครั้งนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่ชื่อใหม่ แต่เป็นรหัสที่ทาง Honda เคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 1988 กับ Honda NX650 Dominator ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์แนวลูกผสมครอสโอเวอร์ที่เกิดมาเพื่อรองรับการใช้งานได้ทั้งทางฝุ่นและทางดำ โดยมีคุณสมบัติสำคัญคือต้องเป็นรถที่เบา ขี่ง่าย
โดยแม้ NX650 Dominator จะถูกยกเลิกการทำตลาดไปตั้งแต่ปี 2003 ทว่าตอนนี้รหัส NX ของมัน ได้ถูกสืบทอดให้กับ Honda CB500X เจเนอเรชันที่ 5 และกลายเป็น Honda NX500 ที่คำว่า NX ได้ถูกนำมาตีความใหม่ กลายเป็นคำว่า “New X-Over” (นิว ครอสโอเวอร์) หรือหมายถึงรถมอเตอร์ไซค์ลูกผสม(ในเรื่องของการใช้งาน)ยุคใหม่นั่นเอง
งานดีไซน์ตัวรถ ถูกออกแบบใหม่ให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยรูปทรงสูงโปร่ง ได้แฟริ่งข้างขนาดใหญ่ และเป็นครีบสองชั้นเพื่อไล่ลม ส่วนช่วงบนเป็นวินชิลด์ทรงสูง และไฟหน้าแบบ LED โปรเจ็กเตอร์โคมเดี่ยวทรง 8 เหลี่ยมแนวตั้ง ด้านในมีการแบ่งดวงไฟสองชั้นระหว่างไฟสูงไฟต่ำ ซึ่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันได้แรงบันดาลใจมาจากตัวแข่ง Dakar Rally
นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนรูปทรงของแฟริ่งใต้ถังกับแฟริ่งใต้เบาะนั่งช่วงตำแหน่งผู้ขี่ใหม่อีกเล็กน้อย กับการปรับเปลี่ยนงานออกแบบไฟท้ายใหม่ ให้ดูแหลมกว่าเดิม เพื่อความปราดเปรียวเข้ากันกับครึ่งแฟริ่งครึ่งหน้าตัวรถ
ถังน้ำมันของตัวรถ ยังคงมีหน้าตาเหมือนเดิมกับ Honda CB500X และยังคงมีความจุเท่าเดิมที่ 17.5 ลิตร เบาะนั่งยังคงสูงเท่าเดิมที่ 830 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับตำแหน่งแฮนด์บาร์และพักเท้าต่างๆยังคงไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนใดๆ ส่วนมิติตัวรถมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย คือ ยาวขึ้น 10 มิลลิเมตร เป็น 2,165 มิลลิเมตร สูงขึ้น 5 มิลลิเมตร เป็น 1,415 มิลลิเมตร แต่ด้านกว้างกับความสูงใต้ท้องรถยังคงเท่าเดิม ที่ 830 มิลลิเมตร และ 180 มิลลิเมตร ตามลำดับ
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ถูกใส่เข้ามา ก็คือชุดหน้าจอมาตรวัดแบบใหม่ ที่ในคราวนี้เปลี่ยนเป็นชุดจอฟูลดิจิตอล TFT ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งยกมาจาก XL750 Transalp โดยหน้าจอใหม่นี้ นอกจากจะมาพร้อมกับสีสันสดไส ยังรองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือทั้ง iOS และ Android ได้ผ่านระบบ Honda RoadSync
ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อการควบคุมหน้าจอที่มีลูกเล่นยิบย่อยเยอะกว่าเดิม ทำให้ตัวประกับแฮนด์ด้านซ้ายของมันมาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบใหม่ นั่นคือปุ่มกดแบบ 4 ทิศทาง ซึ่งสามารถใช้ในการเล่นเพลง เพิ่มเสียง ลดเสียง หรือป้อนคำสั่งในส่วนของระบบนำทางได้เลย หากคุณมีบลูทูธติดหมวกกันน็อกไว้ใช้งานอยู่แล้ว
ในด้านรายละเอียดโครงสร้างตัวรถ แม้จะมีการเปลี่ยนเปลือกใหม่ แต่มันยังคงใช้ชุดเฟรมแบบโครงเหล็ก Daimond-Tube ขนาด 35 มิลลิเมตร ดังเดิม มาพร้อมกับระยะฐานล้อเท่าเดิมที่ 1,445 มิลลิเมตร องศาแผงคอ 27.5 องศา/ระยะเทรล 108 มิลลิเมตร พร้อมอัตราการเฉลี่ยน้ำหนัก 48.7 : 51.3 ตามลำดับหน้า-หลัง
โดยที่น้ำหนักตัวเบาลง 3 กิโลกรัม ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากการไล่เบาของชุดแฟริ่งใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะชุดล้อใหม่ที่เบาลง 800 กรัม และ 700 กรัม ตามลำดับหน้า-หลังด้วย แม้มันจะยังคงรัดด้วยยางไซส์เดิม คือ 110/80-19 และ 160/60-17 ก็ตาม
ระบบกันสะเทือนที่ให้มา ก็ยังคงเป็นแบบโช้กหัวกลับขนาดแกน 41 มิลลิเมตร พร้อมกลไกภายใน Separate Function Fork Big Piston (SFF-BP) ช่วงยุบ 135 มิลลิเมตร ทางด้านหน้า และโช้กต้นเดี่ยว ปรับเซ็ทพรีโหลดได้ 5 ระดับ ช่วงยุบ 135 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกระเดื่องทดแรง และสวิงอาร์มเหล็กกล่องแขนคู่เช่นเดิม
แต่ทั้งนี้ทาง Honda ระบุว่า พวกเขาได้ทำการปรับเซ็ทค่าความแข็งสปริงและความหนืดในการยืดยุบโช้กใหม่ เพื่อเสริมสมรรถนะของตัวรถที่ดียิ่งขึ้นทั้งในทางฝุ่นและทางดำ
และสุดท้ายในเรื่องช่วงล่าง ก็คือระบบเบรกที่ยังคงเป็นแบบ แอกเซียลเมาท์คาลิปเปอร์ 2 พอท ทำงานร่วมกับจานเบรกขนาด 296 มิลลิเมตร 2 ชุด (ดิสก์คู่) ทางด้านหน้า และแบบแอกเซียลเมาท์คาลิปเปอร์ 1 พอท ทำงานร่วมกับจานเบรกขนาด 240 มิลลิเมตร 1 ชุด (ดิสก์เดี่ยว) ทางด้านหลัง ดังเดิม ไม่ได้มีการระบุถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ
ในส่วนของเครื่องยนต์ ยังคงเป็นบล็อค 2 สูบเรียง DOHC 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 471cc เท่าเดิม และยังคงให้กำลังสูงสุด 47.6 PS ที่ 8,600 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 43 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที เหมือนเดิม ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ทำงานร่วมกับระบบกลไกสลิปเปอร์คลัทช์ เช่นเดิม
แต่ก่อนที่จะเสียใจกันไปใหญ่ ความเป็นจริงแล้วทาง Honda ระบุว่าพวกเขาได้ทำการปรับจูนระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และกล่อง ECU ใหม่เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถเรียกอัตราเร่งที่ติดมือได้มากขึ้นอีกนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอบต่ำ-กลาง
และด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ในที่สุด มันก็ถึงเวลาที่ทางค่ายจะใส่ระบบ Honda Selectable Torque Control (HSTC) มาให้สักที แม้จะมีระดับการทำงานเพียงค่าเดียว (ปิดได้หากไม่อยากให้ทำงานตอนลุยหนักๆ) แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ทำให้มันน่าใช้ขึ้นมาก
ทั้งนี้ ทาง Honda ยังไม่มีการประกาศราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Honda NX500 ออกมา ว่าจะมีการปรับขึ้นจาก Honda CB500X ตัวล่าสุดมากน้อยเพียงใด ส่วนการวางจำหน่ายในประเทศไทยเอง ก็อาจจะต้องอดใจรอกันอีกนิด เพราะไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นมันภายในสิ้นเดือนนี้ ที่งาน Motor Expo 2023