Home » 2025 Honda X-ADV 750 ปรับใหม่ทั้งคัน เสริมออพชันสะดวกสบาย+รักษ์โลก
คอมอเตอร์ไซค์

2025 Honda X-ADV 750 ปรับใหม่ทั้งคัน เสริมออพชันสะดวกสบาย+รักษ์โลก

นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2017 ล่าสุด Honda X-ADV 750 ก็ได้ปรับโฉมสู่เจเนอเรชันที่ 3 อย่างเป็นทางการกับตัวรถโฉมปี 2025

2025 Honda X-ADV 750 มาพร้อมกับการปรับโฉมครั้งใหญ่ แม้ว่าโฉมก่อนหน้าของมันจะพึ่งปรับโฉมไปเมื่อปี 2021 เท่านั้น และมีทีท่าว่าจะยังขายดีไปได้อีกสักพักก็ตาม

แต่เพื่อความสดใหม่ของตัวรถ จึงทำให้ในคราวนี้ แทนที่ทาง Honda จะปรับเปลี่ยนเฉพาะเฉดสีเหมือนปีที่ผ่านมาๆ พวกเขาก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนตัวรถใหม่ โดยแม้จะยังคงเน้นเส้นสายที่ช่วยทำให้รถดูปราดเปรียวเพรียวบางดังเดิม แต่ก็มีรายละเอียดที่ดูโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น โดยการขยายกรอบช่องดักลมด้านข้างให้ใหญ่ขึ้นก่อนที่จะล้อมด้วยกรอบซึ่งดูแหลมคมกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วนทำให้รถดูบึกบึนมากขึ้นด้วย

ส่วนชุดไฟหน้ามีการปรับเปลี่ยนรูปทรงโคมใหม่อย่าชัดเจน โดยนอกจากตัวกรอบจะดูเพรียวบางลง แถบไฟ DRL ของมันยังมาพร้อมกับฟังก์ชันที่สามารถกลายเป็นไฟเลี้ยวได้ในตัว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกรถมอเตอร์ไซค์

นอกจากนี้ ทาง Honda ยังระบุอีกว่า พวกเขาได้ทำการใช้วัสดุ Biomass Plastic หรือ พลาสติกจากสสารอินทรีย์อย่างวัสดุ DURABIO ซึ่งช่วยลดการปลดปล่อยมลพิษ ทั้งจากกระบวนการผลิต และการทำสี และสามารถย่อยสลายได้เมื่อหมดอายุการใช้งานเป็นครั้งแรกของรถมอเตอร์ไซค์จากแบรนด์อีกด้วย ทั้งในส่วนของบังโคลนหน้า, ช่องเก็บของใต้ท้องรถ, ฐานเบาะ, และช่องเก็บถุงมือด้านหน้ารถ

และแม้ชิลด์กันลมด้านหน้าจะมีหน้าตาเหมือนเดิม มีความเอียง 11 องศา และสามารถปรับระยะสูง-ต่ำได้ 139 มิลลิเมตรเท่าเดิม แต่คราวนี้มันมาพร้อมกับตัวปรับที่ผู้ใช้สามารถใช้มือซ้ายข้างเดียวปรับตำแหน่งมันได้ 3 ระดับ จากเดิมที่ต้องใช้สองมือในการปลดล็อคแล้วปรับระดับชิลด์หน้า ซึ่งทำให้เสียเวลาในการเดินทางโดยไม่จำเป็น (แต่เดิมทีชิลด์หน้าของตัวรถโฉมปี 2021-2024 จะสามารถปรับความสูง-ต่ำได้ 5 ระดับ)

ซึ่งการเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ใช้ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะตัวเบาะนั่งของรถ ที่ยังคงมีความสูง 820 มิลลิเมตร ก็ได้รับการปรับงานออกแบบทรวดทรงใหม่อีกครั้ง ให้ความกว้างช่วงหว่างขาลดลง เพื่อที่ผู้ขี่จะได้สามารถวางขาลงพื้นได้ง่ายขึ้น และยังมีการเพิ่มปริมาณโฟมในเนื้อเบาะนั่งอีก 10% เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลของตัวเบาะ

ตัวหน้าจอมาตรวัด แม้จะเป็นจอแสดงผลขนาด 5 นิ้ว แบบ Full-Digital TFT เหมือนเดิม แต่ก็มีการปรับอินเตอร์เฟซการแสดงผลใหม่ ให้เหมือนกับเหล่า Honda 500-Series พร้อมระบบเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ Honda RoadSync และยังมีการปรับปรุงหน้าจอด้วยการเพิ่มชั้นเรซินเข้าไประหว่างกระจกครอบกับหน้าจอ เพื่อลดการสะท้อนแสงขณะใช้รถในที่โล่งแจ้ง ทำให้ผู้ขี่สามารถมองข้อมูลตัวรถบนหน้าจอได้สบายตาและชัดเจนยิ่งขึ้น

และระบบความสะดวกสบายสำคัญสุดท้ายที่ถูกเพิ่มเข้ามา ก็คือระบบควบคุมความเร็ว หรือ Cruise Control ที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางให้กับผู้ใช้นั่นเอง

ขุมกำลังของตัวรถ ยังเป็นเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง SOHC UniCam 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 745cc ลูกเดิม และให้กำลังสูงสุด 58.6 PS ที่ 6,750 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 69 Nm ที่ 4,750 รอบ/นาที โดยเครื่องยนต์ลูกนี้เดิมที่ก็ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ให้กำลังได้ดีในช่วงรอบต่ำ-กลางอยู่แล้ว และใช้รอบในการขับเคลื่อนช่วงความเร็วเดินทางที่ต่ำมากเครื่องหนึ่ง จนสามารถให้เลขอัตราสิ้นเปลืองตามเคลมได้ 27.7 กิโลเมตร/ลิตร และทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลสุดราวๆ 360 กิโลเมตร จากถังน้ำมันขนาด 13.2 ลิตร

โดยนอกจากการปรับปรุงตัวแคทตาไลติกในท่อไอเสีย อันที่จริงระบบเกียร์ DCT ซึ่งเป็นระบบส่งกำลังขึ้นชื่อของคู่กันในตัวรถ X-ADV 750 ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน โดยเน้นไปที่การเพิ่มความนุ่มนวลในการทำงานของระบบคลัทช์ช่วงความเร็วต่ำกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อการคุมการทรงตัวของรถขณะยูเทิร์น หรือมุดซอกแซกการจราจรในช่วงความเร็วดังกล่าวที่ไหลลื่นและเรียบเนียนมากกว่า

โดยที่ฟังก์ชันการปรับตำแหน่งเกียร์ด้วยปลายนิ้ว ทั้งแบบ Semi-Auto หรือ Manual ยังคงมีให้เลือกดังเดิม และการปรับระดับความดุดันของการเปลี่ยนเกียร์ก็ยังคงสามารถทำได้ 5 ระดับเช่นเดิม

นอกนั้นในส่วนระบบคันเร่งไฟฟ้าเอง ก็แน่นอนว่าต้องมีการปรับปรุงใหม่ เพื่อให้รับกับการทำงานของระบบคลัทช์ที่เปลี่ยนไป และยังคงมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 5 แบบดังเดิม ได้แก่ 4 แบบพื้นฐาน Standard, Sport, Rain, Gravel และอีก 1 โหมดสำหรับการปรับเซ็ทค่าการทำงานของเครื่องยนต์ทั้งในส่วนของ อัตราการตอบสนองต่อคันเร่งและกำลังเครื่อง “P”, ความหนักของแรงหน่วงเครื่องยนต์ “EB” และระบบ HSTC อีก 4 ระดับ (รวมปิด) ด้วยตนเองอีก 1 โหมด

ด้านชิ้นส่วนโครงสร้างตัวรถ ยังคงอ้างอิงพื้นฐานเดียวกันกับตัวรถโฉมก่อนหน้า ทั้งโครงสร้างแบบโครงเหล็ก Diamond Frame มาพร้อมกับระยะฐานล้อ 1,590 มิลลิเมตร กับองศาแผงคอ 27 องศาพร้อมระยะเทรลอีก 104 มิลลิเมตร ช่วยให้รถสามารถทำวงเลี้ยวได้แคบสุดในระยะ 2.8 เมตร

ระบบกันสะเทือนด้านหน้ายังคงเป็นโช้กอัพตะเกียบคู่หัวกลับขนาดแกน 41 มิลลิเมตร สามารถปรับเซ็ททั้งค่าพรีโหลด และรีบาวน์ได้ พร้อมช่วงยุบ 153.5 มิลลิเมตร ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหลัง เป็นโช้กเดี่ยว ปรับค่าพรีโหลดได้ พร้อมช่วงยุบ 150 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนคู่ และระบบกลไกกระเดื่องทดแรง Pro-Link

ชุดล้อที่ให้มา ยังคงเป็นแบบล้อแบบซี่ลวดทูบเลส ขนาด 17 นิ้ว ด้านหน้า และ 15 นิ้วทางด้านหลัง รัดด้วยยางกึ่งหนาม ขนาด 120/70-17 และ 160/60-15 ตามลำดับ ทำงานร่วมกับระบบเบรกดิสก์หน้าคู่ขนาด 269 มิลลิเมตร และคาลิปเปอร์เบรกเรเดียลเมาท์ 4 พอร์ท ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 240 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์เบรกโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท สำหรับการหยุดตัวรถน้ำหนัก 237 กิโลกรัม รวมของเหลวพร้อมขี่ แต่ยังไม่รวมน้ำหนักสัมภาระและตัวผู้ขี่และผู้ซ้อน

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า 2025 Honda X-ADV 750 อาจพร้อมสำหรับการวางจำหน่ายในประเทศไทยของเราภายในช่วงสิ้นปีนี้เป็นอย่างเร็ว ส่วนจะมาครบทุกเฉดสี ทั้ง Graphite Black, Pearl Glare White, และ Matte Deep Mud Gray ก็ต้องรอติดตามดูกันต่อไป

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.