2025 Yamaha Nmax เผยโฉมอย่างเป็นทางการในไทยแล้ววันนี้ พร้อมการปรับเปลี่ยนในหลายจุด ไม่ว่าจะงานดีไซน์ภายนอก ลูกเล่น และระบบส่งกำลังใหม่ YECVT กับราคาเริ่มต้น 98,500 บาท

2025 Yamaha Nmax คราวนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่แทบทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องของงานออกแบบตัวรถทั้งคันตั้งแต่ ชุดหน้า ที่มาพร้อมกับไฟหน้าแบบใหม่ โดยคราวนี้หันไปใช้โคมไฟ Projector-LED แบบโคมคู่บน-ล่าง ขนาบข้างด้วยดวงไฟ DRL ซ้าย-ขวา ซึ่งปลายสุดเป็นตำแหน่งของแถบไฟเลี้ยวแนวตั้งทั้งสองฝั่งอีกที
ต่อด้วยชุดแผ่นชิลด์หน้าแบบใหม่ใหญ่และสูงกว่าเดิม, แฟริ่งข้างครึ่งหน้ามีเส้นสายและการขึ้นชิ้นงานที่ดูมีมิติเหลี่ยมสันยิ่งขึ้น, บังโคลนหน้าแบบทูโทนคล้าย Xmax, เปลี่ยนชิ้นส่วนแฟริ่งข้างโครงกลางใหม่ เช่นเดียวกับชุดด้านล่าง, แฟริ่งข้างช่วงใต้เบาะนั่งเน้นความเหลี่ยมสันมากขึ้น ด้วยเส้นสายเดียวกันกับ Xmax ตัวล่าสุด
ชุดไฟท้ายกลับไปใช้แบบแหงนขึ้นฟ้า โดยมีการปรับกรอบใหม่ให้ดูโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม และเปลี่ยนไส้ในเป็นหลอด LED ทั้งหมด แม้แต่ดวงไฟเลี้ยวที่แยกส่วนอยู่คู่ล่างเองก็ด้วย
นอกจากนี้ สำหรับตลาดประเทศไทย จะมีการเพิ่มรุ่นย่อย TechMax เข้ามา ซึ่งจะได้รับการติดตั้งชิ้นส่วนตกแต่งเสริมบางรายการเข้ามา ทั้ง เบาะนั่งพร้อมหนังหุ้มเบาะลายพิเศษ และ โลโก้ประจำรุ่น รวมถึงเฉดสีเฉพาะตัว และล้อสีทอง
นอกจากนี้ แม้ Nmax รุ่นล่าง จะยังคงใช้จอฟูลดิจิตอลชิ้นเดียวธรรมดาๆ พร้อมฟีเจอร์ในการเชื่ออมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบบลูทูธ Y-Connected ดังเดิม
แต่ในรุ่นท็อป ซึ่งคือรุ่น TechMax ก็จะมาพร้อมกับ จอ 2 ชุด ได้แก่ จอดิจิตอล ขาวดำ สำหรับแสดงผลความเร็ว, ระยะทาง ODO, ระยะทางทริป, และระดับน้ำมันทางด้านบน
โดยมีจอด้านล่างก็ที่เป็นจอสี Full Digital TFT ซึ่งรองรับทั้งการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Y-Connected และยังรองรับการเชื่อมต่อกับแอพลิเคชัน Garmin Street Cross ซึ่งเป็นแอพพลิเคชันนำทางผ่านระบบ GPS จาก Garmin อีกด้วย
ซึ่งอันที่จริง ชุดจอสำหรับตัวท็อปที่ว่านี้ ก็คือชุดจอที่ยกมาจาก Yamaha Xmax ตัวล่าสุดนั่นเอง
ด้านโครงสร้างภายในตัวรถ ยังคงใช้ชุดโครงเดียวกันกับตัวรถรุ่นก่อนหน้า แม้แต่ระบบช่วงล่างเองก็ยังคงเป็นแบบโช้กตะเกียบคู่หัวตั้งด้านหน้า และโช้กคู่ ทำงานร่วมกับกลไกแบบยูนิตสวิงทางด้านหลัง โดยที่ตัวโช้กคู่หลังนี้ จะมีให้เลือกทั้งมีแต่แบบโช้กแก๊สกระปุกซับแทงค์แยกเท่านั้น ไม่มีรุ่นที่ใช้โช้กคู่ธรรมดาแต่อย่างใดอีกต่อไป
ฝั่งระบบเบรก ก็ยังคงใช้ระบบดิสก์เบรกเดี่ยว พร้อมโฟลทติ้งเมาท์คาร์ลิปเปอร์ หน้า-หลัง พร้อมทางเลือกเสริมระบบ ABS และ TCS เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ ในบางรุ่นย่อยดังเดิม เช่นเดียวกับชุดล้อ ที่ยังคงใช้ล้อลายเดิม รัดด้วยยางทูบเลสขนาดเท่าเดิม คือ 110/70-13 และ 130/70-13 ตามลำดับหน้า-หลัง
ไฮไลท์สำคัญของ Yamaha Nmax ตัวล่าสุด ก็คือเรื่องของขุมกำลัง ที่คราวนี้ยังคงเป็นเครื่องยนต์ Blue Core สูบเดียว 155cc SOHC 4 วาล์ว พ่วงระบบวาล์วแปรผัน VVA ดังเดิม และยังคงให้กำลังสูงสุด 15.36 PS ที่ 8,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 14.2 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที เหมือนเดิม
แต่ในคราวนี้ระบบเกียร์ CVT ของมัน หากเป็นตัวรถรุ่น TechMax ก็จะได้รับการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนระบบส่งกำลังใหม่ ให้กลายเป็นระบบเกียร์ YECVT (Yamaha Electric CVT) ซึ่งทำให้คราวนี้ตัวชุดพูลเล่ย์ตัวหน้า ที่จะคอยคุมการเปลี่ยนอัตราทดโดยอาศัยการเคลื่อนที่ของตุ้มแรงเหวี่ยงตามรอบเครื่องยนต์ ก็จะเปลี่ยนไปอาศัยการคุมจังหวะเปลี่ยนอัตราทดโดยตัวผลักจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ได้รับคำสั่งจากระบบสมองกลอีกทีแทน
นั่นจึงทำให้ในคราวนี้ ตัวรถจะสามารถคุมอัตราทดของระบบเกียร์ CVT ให้ตอบสนองกับข้อมือของผู้ขี่ได้อย่างฉับไวมากขึ้น รวมถึงยังสามารถคุมความดิบของอัตราเร่ง ตามโหมดการทำงานของระบบส่งกำลังได้ ทั้ง Town Mode และ เช่นเดียวกับการคุมอัตราการถ่ายแรงเฉื่อยของเครื่องยนต์ หรือ เอนจิ้นเบรก ที่จะถูกส่งไปยังล้อหลังได้อีก ด้วยปุ่ม Shift Mode เพื่อความสนุกสนานขณะใช้งานรถในเมือง และยังทำให้การขี่รถบนทางลงเขาชันๆมีความปลอดภัยมากขึ้น
โดย All-New Yamaha Nmax พร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทย ด้วยทางเลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่
- All-New Yamaha Nmax Standard : ราคา 98,500 บาท พร้อม 4 เฉดสีให้เลือกซื้อ ทั้ง สีแดง Super Red, สีดำ Vivid Black, สีขาว Glossy White, และสีฟ้า Pastel Blue
- All-New Yamaha Nmax TechMax : ราคา 113,500 บาท พร้อม 2 เฉดสีให้เลือกซื้อ ทั้ง สีน้ำตาล-ดำ Magma-Red, สีเทา-ดำ Prestige Grey
นอกจากนี้ รถ All-New Yamaha Nmax ทุกรุ่นย่อย ยังคงมาพร้อมกับการรับประกันมากกว่าถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร