หลังการปรับโฉมเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 2 ไปตั้งแต่ปี 2019 ล่าสุดก็ถึงเวลาแล้วที่ Yamaha Nmax จะได้รับการปรับโฉมใหญ่อีกครั้ง และคราวนี้ก็ยังมาพร้อมกับชื่อต่อท้ายสุดเท่ว่า “Turbo”
Yamaha Nmax Turbo ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในประเทศอินโดนีเซีย โดยคราวนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่แทบทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องของงานออกแบบตัวรถทั้งคันที่เรียกได้ว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย ตั้งแต่ ชุดหน้า ที่มาพร้อมกับไฟหน้าแบบใหม่ โดยคราวนี้หันไปใช้โคมไฟ Projector-LED แบบเดี่ยวตรงกลาง ขนาบข้างด้วยดวงไฟ DRL ซ้าย-ขวา ซึ่งปลายสุดเป็นตำแหน่งของแถบไฟเลี้ยวแนวตั้งทั้งสองฝั่งอีกที
ต่อด้วยชุดแผ่นชิลด์หน้าแบบใหม่ใหญ่และสูงกว่าเดิม, แฟริ่งข้างครึ่งหน้ามีเส้นสายและการขึ้นชิ้นงานที่ดูมีมิติเหลี่ยมสันยิ่งขึ้น, บังโคลนหน้าแบบทูโทนคล้าย Xmax, เปลี่ยนชิ้นส่วนแฟริ่งข้างโครงกลางใหม่ เช่นเดียวกับชุดด้านล่าง, แฟริ่งข้างช่วงใต้เบาะนั่งเน้นความเหลี่ยมสันมากขึ้น ด้วยเส้นสายเดียวกันกับ Xmax ตัวล่าสุด, ชุดไฟท้ายกลับไปใช้แบบแหงนขึ้นฟ้าอีกครั้ง คล้ายกับ Nmax เวอร์ชันแรก แต่ลักษณะโคมไฟท้ายขอองตัวใหม่มีกรอบเหลี่ยมสันชัดเจนมากกว่า และแน่นอนว่าถูกเปลี่ยนหลอดไฟข้างในเป็นแบบ LED เรียบร้อย
นอกนั้นชิ้นส่วนแฟริ่ง และชิ้นส่วนอื่นๆที่เห็นได้ด้วยตาก็ล้วนเปลี่ยนไปทั้งหมด ยันบังโคลนท้าย และชุดครอบแฮนด์ กับฝาครอบหม้อน้ำ ลามไปถึงมือจับกันตกคนซ้อนด้านท้าย และวัสดุหุ้มเบาะนั่งก็ยังเปลี่ยน
มีก็แค่เพียงชุดการ์ดความร้อนข้างท่อไอเสียเท่านั้นที่ยังคงดูเหมือนเดิมกับตัวรถรุ่นก่อนหน้า
จุดขายสำคัญอีกประการของ Nmax รุ่นใหม่ คือชุดหน้าจอมาตรวัด ที่คราวนี้แม้รุ่นล่าง จะยังคงใช้จอฟูลดิจิตอลชิ้นเดียวธรรมดาๆ พร้อมฟีเจอร์ในการเชื่ออมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบบลูทูธ Y-Connected ดังเดิม
แต่ในรุ่นท็อป ซึ่งคือรุ่น Turbo Tech Max Ultimate ก็จะมาพร้อมกับ จอ 2 ชุด ได้แก่ จอดิจิตอล ขาวดำ สำหรับแสดงผลความเร็ว, ระยะทาง ODO, ระยะทางทริป, และระดับน้ำมันทางด้านบน
โดยมีจอด้านล่างก็ที่เป็นจอสี Full Digital TFT ซึ่งรองรับทั้งการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Y-Connected และยังรองรับการเชื่อมต่อกับแอพลิเคชัน Garmin Street Cross ซึ่งเป็นแอพพลิเคชันนำทางผ่านระบบ GPS จาก Garmin อีกด้วย
ซึ่งอันที่จริง ชุดจอสำหรับตัวท็อปที่ว่านี้ ก็คือชุดจอที่ยกมาจาก Yamaha Xmax ตัวล่าสุดนั่นเอง
ด้านโครงสร้างภายในตัวรถ ยังคงใช้ชุดโครงเดียวกันกับตัวรถรุ่นก่อนหน้า แม้แต่ระบบช่วงล่างเองก็ยังคงเป็นแบบโช้กตะเกียบคู่หัวตั้งด้านหน้า และโช้กคู่ ทำงานร่วมกับกลไกแบบยูนิตสวิงทางด้านหลัง โดยที่ตัวโช้กคู่หลังนี้ จะมีให้เลือกทั้งมีแต่แบบโช้กแก๊สกระปุกซับแทงค์แยกเท่านั้น ไม่มีรุ่นที่ใช้โช้กคู่ธรรมดาแต่อย่างใดอีกต่อไป
ฝั่งระบบเบรก ก็ยังคงใช้ระบบดิสก์เบรกเดี่ยว พร้อมโฟลทติ้งเมาท์คาร์ลิปเปอร์ หน้า-หลัง พร้อมทางเลือกเสริมระบบ ABS และ TCS เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ ในบางรุ่นย่อยดังเดิม เช่นเดียวกับชุดล้อ ที่ยังคงใช้ล้อลายเดิม รัดด้วยยางทูบเลสขนาดเท่าเดิม คือ 110/70-13 และ 130/70-13 ตามลำดับหน้า-หลัง
ไฮไลท์สำคัญของ Yamaha Nmax ตัวล่าสุด ก็คือเรื่องของขุมกำลัง ที่คราวนี้ยังคงเป็นเครื่องยนต์ Blue Core สูบเดียว 155cc SOHC 4 วาล์ว พ่วงระบบวาล์วแปรผัน VVA ดังเดิม และยังคงให้กำลังสูงสุด 15.36 PS ที่ 8,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 14.2 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที เหมือนเดิม
แต่ในคราวนี้ระบบเกียร์ CVT ของมัน หากเป็นรุ่นที่มีรหัสต่อท้ายว่า “Turbo” ก็จะได้รับการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนระบบส่งกำลังใหม่ ให้กลายเป็นระบบเกียร์ YECVT (Yamaha Electric CVT) ซึ่งทำให้คราวนี้ตัวชุดพูลเล่ย์ตัวหน้า ที่จะคอยคุมการเปลี่ยนอัตราทดโดยอาศัยการเคลื่อนที่ของตุ้มแรงเหวี่ยงตามรอบเครื่องยนต์ เปลี่ยนไปอาศัยการคุมจังหวะเปลี่ยนอัตราทดโดยตัวผลักจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ได้รับคำสั่งจากระบบสมองกลอีกทีแทน
นั่นจึงทำให้ในคราวนี้ ตัวรถจะสามารถคุมอัตราทดของระบบเกียร์ CVT ให้ตอบสนองกับข้อมือของผู้ขี่ได้อย่างฉับไวมากขึ้น รวมถึงยังสามารถคุมความดิบของอัตราเร่ง ตามโหมดการทำงานของระบบส่งกำลังได้ เช่นเดียวกับการคุมอัตราการถ่ายแรงเฉื่อยของเครื่องยนต์ที่จะถูกส่งไปยังล้อหลังได้อีก เพื่อความสนุกสนานขณะใช้งานรถในเมือง และยังทำให้การขี่รถบนทางลงเขาชันๆมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย
ดังนั้น แม้ตัวรถจะใช้ชื่อ “Turbo” แต่ในความจริงแล้ว ความสามารถในการเรียกอัตราเร่งที่จี๊ดจ๊าดมากขึ้น กลับไม่ได้มาจากการปรับจูนเครื่องยนต์ให้แรงขึ้นด้วยระบบอัดอากาศ แต่เป็นการเล่นกับวิธีคุมอัตราทดเกียร์ CVT ด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้รถสามารถเรียกอัตราเร่งได้ติดมือ ราวกับมีเทอร์โบติดตั้งอยู่ต่างหาก นั่นเอง
โดยราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Yamaha Nmax 2025 ในประเทศอินโดนีเซีย มีตัวเลขเริ่มต้นอยู่ที่ 32,700,000 รูเปียห์ หรือราวๆ 73,400 บาท และหากเป็นรุ่น Turbo ที่มาพร้อมกับระบบเกียร์ YECVT ก็จะสนนราคาเพิ่มขึ้น เป็น 37,700,000 รูเปียห์ หรือราวๆ 84,400 บาท
ส่วนรุ่น Turbo Tech Max ที่ได้ทั้งระบบเกียร์ YECVT กับชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Xmax ก็จะสนนราคาที่ 43,250,000 รูเปียห์ หรือราวๆ 96,900 บาท
และในรุ่นท็อปสุด Turbo Tech Max Ultimate ที่มีการเพิ่มฟังก์ชันการปรับโหมดการทำงานของชุดเกียร์ YECVT เข้ามาอีก ก็จะสนนราคาที่ 45,250,000 รูเปียห์ หรือราวๆ 101,500 บาท
ด้านการวางจำหน่ายในประเทศไทย คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดช่วงไม่เกินสิ้นปีนี้ แต่จะมาครบทุกรุ่นย่อย หรือมาแบบสเป็คจัดเต็มเลยหรือไม่ ? ยังต้องรอติดตามกันต่อไป