ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา Ducati มักสร้างชื่อด้วยการเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ขุมกำลัง L-Twin เบอร์ต้นของโลก และในช่วงหลังนี้ก็หันมาทำเครื่องยนต์ L4 มากขึ้น จนล่าสุดก็ได้เปิดตลาดใหม่ของพวกเขาอีกครั้งด้วย Ducati Hypermotard 698 Mono
Ducati Hypermotard 698 Mono คือรถมอเตอร์ไซค์น้องใหม่จากทาง Ducati ในตอนนี้ และมันเองก็มีจุดเด่นที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่เรียกได้ว่าแทบจะยกมาจากรุ่นพี่ Ducati Hypermotard 950 โดยเฉพาะในส่วนของไฟหน้า LED พร้อมแถบไฟ DRL, ชิ้นบังโคลนหน้าอาจจะดูแบนลงหน่อยแต่ด้วยความยื่นยาว จึงทำให้มันดูมีความเป็นรถซุปเปอร์โมโตมากกว่ารุ่นพี่, นอกนั้นในส่วนแฟริ่งข้างก็เน้นความปราดเปรียว แต่ยังไม่ลืมที่จะใส่ชุดปลายท่อไอเสียแบบออกคู่ด้านท้ายมาให้เพื่อความเท่
ส่วนมิติตัวรถเอง ทางค่ายก็ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขออกมามากนัก นอกไปเสียจาก การระบุว่ามันมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 1,443 มิลลิเมตร มีองศาแผงคอ 26.1 องศา ระยะเทรลอีก 108 มิลลิเมตร และท้ายสุดคือความสูงเบาะที่มากถึง 904 มิลลิเมตร ซึ่งเราเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เมื่อขายไทยแล้ว ทางค่ายจะมีการปรับลดความสูงเบาะนี้ลงเพื่อรองรับกับสัดส่วนลูกค้าชาวไทยเพิ่มเติมหรือไม่ ?
ด้านจุดขายหลักนั่นคือขุมกำลัง ที่แหวกพี่น้องร่วมค่ายยุคปัจจุบันด้วยเครื่องยนต์สูบเดียว 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 659cc จากลูกสูบขนาด 112 มิลลิเมตร กับ ช่วงชักสั้นเพียง 62.4 มิลลิเมตร
บวกกับลักษณะเครื่องยนต์ที่เหมือนกับเอาขุมกำลังของ Ducati 1299 Panigale มาหั่นครึ่ง, การใช้ระบบวาล์วแบบเดสโมโดรมิกอันเลื่องชื่อ แถมยังมีอัตราส่วนกำลังอัดที่สูงถึง 13.1:1 ,ใส่เพลาบาลานเซอร์อีก 2 ชุด เพื่อลดการสั่น และทำให้รอบเครื่องยนต์นิ่ง, ตามด้วยการใช้ลิ้นเร่งไฟฟ้าขนาด 62 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับระบบหัวฉีดจาก Bosch
จึงทำให้เครื่องยนต์สูบเดียวของ Hypermotard รุ่นนี้ สามารถรีดรอบได้สูงสุดที่ 10,250 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 63 นิวตันเมตร ที่ 8,000 รอบ/นาที ขณะที่แรงม้าสูงสุดก็สามารถทำตัวเลขได้สูงถึง 77.5 PS ที่ 9,750 รอบ/นาที ส่งผลให้มันกลายเป็นเครื่องยนต์สูบเดียวในรถโปรดักชันไบค์ที่แรงที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ไปโดยปริยาย แต่กลับมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีถึง 20.8 กิโลเมตร/ลิตร ตามเคลม
หรือหากแค่นั้นยังไม่พอ ลูกค้ายังสามารถเลือกออพชันติดตั้งท่อไอเสีย Full-System จาก Termingoni ภายหลังได้อีก ซึ่งช่วยให้ขุมกำลังลูกนี้สามารถเค้นแรงม้าได้มากขึ้นเป็น 85 PS
ด้านระบบส่งกำลังเอง ก็ยังคงเป็นระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ทำงานร่วมกับระบบคลัท์ไฮดรอลิก พร้อมกลไกสลิปเปอร์คลัทช์ ทว่าในส่วนระบบควิกชิฟท์เตอร์แบบ 2 ทางขึ้น/ลง จะมีให้เฉพาะรุ่นบนอย่างตัว RVE เท่านั้น ไม่ได้ใส่มาให้ในตัวล่าง
และแม้ขุมกำลังจะเปลี่ยนไปจากเพื่อนร่วมค่าย แม้กระทั่งรุ่นพี่ในตระกูล Hypermotard แต่เจ้ารถซุปเปอร์โมโตคันนี้ก็ยังคงมาพร้อมกับชุดเฟรมแบบโครงเหล็กถัก ที่มีน้ำหนักเบาเพียง 7.2 กิโลกรัม ชุดสวิงอาร์มหลังแขนคู่เอง ก็ทำขึ้นจากวัสดุอลูมิเนียม แม้กระทั่งขาจานเบรกเองก็ยังทำขึ้นจากวัสดุอลูมิเนียมเพื่อไล่เบา ตัวแบตเตอรี่ ยังเป็นแบตลิเทียม-ไอออน น้ำหนักเบาออกโรงงาน
ส่งผลให้น้ำหนักตัวรถเมื่อไม่รวมของเหลวมีตัวเลขเพียง 151 กิโลกรัมเท่านั้น หรือต่อให้เติมน้ำมันเข้าไปเต็มถึงความจุ 12 ลิตร มันก็ยังมีน้ำหนักเพียง 162 กิโลกรัมอยู่ดี
ด้านระบบช่วงล่างเอง ก็จัดเต็มด้วยชุดโช้คอัพตะเกียบคู่หัวกลับทางด้านหน้า ขนาดแกน 45 มิลลิเมตร จาก Marzhocci พร้อมฟังก์ชันในการปรับเซ็ทได้ทุกค่า ขณะที่โช้กหลัง เป็นแบบโช้กแก๊สต้นเดี่ยว มีกระปุกซับแทงค์แยกจาก Sachs พร้อมฟังก์ชันในการปรับเซ็ทได้ทุกค่าเช่นกัน และยังทำงานร่วมกับกระเดื่องทดแรงอีกชั้น
ระบบเบรกที่ให้มา แม้ด้านหน้าจะเป็นแบบดิสก์เดี่ยว แต่ก็เป็นดิสก์เบรกที่มีขนาดใหญ่ถึง 330 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรก Brembo M4.32 แบบเรเดียลเมาท์ 4 พอท ส่วนด้านหลังเอง ก็เป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 245 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท
สุดท้ายในเรื่องระบบช่วงล่าง ก็คือชุดล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบา รัดด้วยยาง Pirelli Rossi IV ขนาด 120/70-17 ทางด้านหน้า และ 160/60-17 ทางด้านหลัง
ด้านลูกเล่นและระบบความปลอดภัย ก็ใส่มาให้ทั้ง ชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital LCD ขนาด 3.8 นิ้ว เพื่อแสดงผลในส่วนของ โหมดการขับขี่, ระบบ Bosch Cornering ABS 4 ระดับ, Ducati Traction Control 4 ระดับ, Ducati Wheelie Control 4 ระดับ, Engine Brake Control 4 ระดับ, Ducati Brake Light, และ Ducati Power Launch ซึ่งถือว่าครบครันสมชื่อ Ducati
ส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ของ Ducati Hypermotard 698 Mono ขณะนี้ก็มีการประกาศไว้เพียงสำหรับการทำตลาดในสหราชอาณาจักรเท่านั้น ด้วยราคาเริ่มต้น 10,995 ปอนด์ หรือราวๆ 4.9 แสนบาท สำหรับรุ่นพื้นฐาน และขยับขึ้นเป็น 11,895 ปอนด์ หรือราวๆ 5.19 แสนบาท สำหรับรุ่น RVE
สำหรับการวางจำหน่ายในประเทศไทย คาดว่าจะมีการตั้งราคาที่ไม่หนีไปจากนี้มากนัก แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยังต้องรอติดตามชมกันต่อไป