ในหลายปีที่ผ่านมา เราอาจเป็นรู้จัก GWM หรือ Great Wall Motor ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์เจ้าดังเจ้าใหญ่จากประเทศจีน แต่ล่าสุด พวกเขากลับเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาซึ่งแปลกตาไปจากเดิม เพราะมันคือ ทัวร์ริ่งไบค์ไซส์ใหญ่ยักษ์ นามว่า “GWM Souo S2000”

GWM Souo S2000 คือรถมอเตอร์ไซค์แนวทัวร์ริ่งไบค์ขนาดใหญ่ ที่ทางแบรนด์ ทำการเผยโฉมไปเมื่อกลางปีก่อน และได้มีการทำขายจริงไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยช่วงต้นปีที่ผ่านมาในประเทศจีน
โดยจุดเด่นสำคัญของเจ้ารถมอเตอร์ไซค์ขนาดยักษ์คันนี้ ก็เริ่มจากการที่ มันได้ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงความหลงไหลในการขี่รถมอเตอร์ไซค์ของ Wei Jianjun ประธานบอร์ดบริหารของบริษัท Great Wall Motor และในเมื่อเจ้าตัวจะทำรถมอเตอร์ไซค์เองทั้งที ก็ต้องทำให้มันมาพร้อมกับความเป็นที่สุดของตลาด จนเกิดเป็นรถทัวร์ริ่งไซส์ยักษ์ที่มาพร้อมกับขุมกำลังมากสูบที่สุดในโลกคันนี้
ดังนั้นเราจึงจะเห็นอย่างชัดเจนว่า จุดขายสำคัญที่สุดของมัน ก็คือเครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบนอน DOHC 4 วาล์วต่อสูบ พร้อมระบบวาล์วแปรผันระยะเวลาในการเปิด-ปิดวาล์วไอดี และให้ขนาดความจุในเสื้อสูบรวมมากถึง 2,000cc (ซึ่งถือว่าใหญ่โตเกินไปมาก เมื่อเทียบกับบรรทัดฐานของรถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆไป และจัดว่าใหญ่กว่าเหล่ารถมอเตอร์ไซค์กลุ่มเดียวกันอยู่เล็กน้อย) จากขนาดกระบอกสูบ 68.0 มิลลิเมตร x ช่วงชัก 68.4 มิลลิเมตร
และด้วยขนาดความจุที่ค่อนข้างใหญ่โตจึงทำให้มันสามารถเรียกกำลังได้สูงสุด 153.67 PS ที่ 6,500 รอบ/นาที (แม้เรดไลน์ที่ขึ้นบนจอจะแสดงให้เห็นตั้งแต่ 6,000 รอบ/นาที แต่ก็คาดว่ากว่ารอบจะตัดจริงๆคือที่ราวๆ 7,000 รอบ/นาที) และมีแรงบิดสูงสุด 190 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันมีแรงม้ามากกว่าคู่แข่งอย่าง Goldwing GL1800 ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนอน ความจุ 1,833cc ที่ทำกำลังสูงสุดได้ 124.7 แรงม้า PS ที่ 5,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 170 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที อยู่ราวๆเกือบ 20 ตัว และแรงบิดสูงสุดก็มากกว่าคู่แข่งราวๆ 20 นิวตันเมตร เช่นกัน
หากรูปแบบเครื่องยนต์ยังดูขิงชาวบ้านไม่มากพอ ระบบส่งกำลังของมัน ยังถูกระบุว่าจะเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ ซึ่งในตอนนี้มีเพียง Honda เท่านั้น ที่ใช้ระบบส่งกำลังแบบนี้ในรถมอเตอร์ไซค์ของตนเองอยู่ แต่ที่ทาง GWM จะให้มาเหนือกว่าหน่อยคือ ระบบเกียร์จะมีอัตราทดทั้งหมด 8 สปีด ไม่ใช่ 7 สปีด เพื่อการเรียกอัตราเร่งที่มีความต่อเนื่องและไหลลื่นมากกว่า
และด้วยอัตราทดเกียร์หลายจังหวะระดับนี้ บวกกับย่านกำลังที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้รถสามารถวิ่งที่ความเร็วราวๆ 120 กิโลมตร/ชั่วโมง ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำเพียงราวๆ 2,100 รอบ/นาที (ซึ่งถือว่าต่ำแล้วสำหรับรถมอเตอร์ไซค์) และมีความเร็วสูงสุดที่ราวๆ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งอาจจะไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานของผู้ใช้ส่วนใหญ่
ด้านงานตกแต่งรอบคัน จะมาพร้อมกับงานออกแบบชิ้นส่วนเปลือกนอกที่คล้ายกับ Honda Gold Wing GL1800 เจเนอเรชันที่ 5 รุ่นปี 2001-2017 อยู่พอสมควร แค่มันถูกทำให้ชิ้นเปลือกแฟริ่งต่างๆมีความใหญ่โต และบึกบึนกว่ามากก็เท่านั้น พร้อมปรับเปลี่ยนงานออกแบบไฟหน้าใหม่ ให้ดูทันสมัยยิ่งกว่า ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจากสิงโต ไม่เว้นแม้กระทั่งระบบกันสะเทือนทางด้านหน้าเอง ก็ยังเป็นแบบ Hossack-style Girder fork ซึ่งเป็นแบบเดียวกับ GL1800 เจเนอเรชันที่ 6 (และ BMW K1600GT)
นอกจากนี้ ตัวรถยังมากับมิติด้านยาว 2,660 มิลลิเมตร, ด้านสูง 1,540 มิลลิเมตร, ระยะฐานล้ออีก 1,810 มิลลิเมตร และความสูงเบาะอีก 740 มิลลิเมตร โดยทั้งหมดล้วนเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกันกับ Gold Wing (ค่อนไปทางเยอะกว่าเล็กน้อย) เว้นเพียงระยะฐานล้อ ที่มากกว่ากันถึง 115 มิลลิเมตร
ส่วนน้ำหนักตัวรถเอง ก็ถือว่าสูงไม่น้อย โดยมีตัวเลขตั้งแต่ 450 กิโลกรัม ไปจนถึง 461 กิโลกรัม แล้วแต่ว่าเป็นรุ่น 2000 ST ที่จะไม่มีกระเป๋าหลัง แต่มีกระเป๋าข้าง ฝั่งละ 24 ลิตร หรือ รุ่น 2000 GL ที่จะมีกระเป๋าหลังขนาด 63 ลิตร พร้อมพนักพิงและวางแขนสำหรับผู้ซ้อนมาให้ ตามลำดับ ซึ่งด้วยน้ำหนักขนาดนี้ จึงทำให้มันมีเกียร์ถอยหลังไฟฟ้ามาด้วย ซึ่งผู้ขี่สามารถใช้ช่วยถอยหลังรถได้ด้วยความเร็วสูงสุด 4 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ลูกเล่นต่างๆของตัวรถ ก็ถูกให้มาค่อนข้างจัดเต็มตามฉบับทัวร์ริ่งไบค์รุ่นใหญ่ ทั้ง โครงสร้างตัวรถซึ่งใช้วัสดุอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป, โช้กอัพหน้า-หลัง ทั้งหมด ยังมาพร้อมกับระบบปรับค่าความหนืดด้วยไฟฟ้า ตามโหมดการขับขี่ และสภาพพื้นผิวถนนได้อีก 3 รูปแบบ ได้แก่ Travel/Dynamic/Rain, ชุดล้ออัลลอยด์รัดด้วยยางขนาด 130/70-18 ทางด้านหน้าและ 200/55-16 ทางด้านหลัง, ระบบเบรกด้านหน้า ซึ่งใช้จานเบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มเบรก Brembo Radial Mount Monobloc M4.32 และจานเบรกเดี่ยว ขนาด 295 มิลลิเมตร ทางด้านหลัง (คาลิปเปอร์เบรกหลังยังไม่มีข้อมูล),
ตามด้วย ระบบชิลด์ปรับความสูง-ต่ำด้วยระบบไฟฟ้า, หน้าจอมาตรวัดแบบ Full-Digital TFT ขนาด 12.3 นิ้ว ประมวลผลด้วยชิปรหัส 8155 เพื่อใช้ในการคำนวนข้อมูลฟังก์ชันต่างๆของตัวรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นระบบอัพเดทเฟิร์มแวร์แบบ OTA, ระบบสั่งการด้วยเสียง, ระบบเครื่องเสียงผ่านลำโพงสูงสุด 8 ตัว กำลังขับสูงสุด 360 วัตต์ , ระบบเบาะนั่งทำความร้อน ทั้งฝั่งผู้ขี่และผู้ซ้อน, ระบบแฮนด์อุ่นมือ, และยังมีระบบตรวจจับวัตถุในมุมอับ (Blindspot) กับ Adaptive Cruise Control มาให้ด้วย
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ เดิมที ตัวรถ GWM SOUO S2000 จะมีการวางจำหน่ายเพียงแค่ 288 คันก่อนเท่านั้น ในตัวรถเวอร์ชันแรก รุ่น First Batch สีดำ-ทอง แต่หลังจากมีการเปิดรับจองเพียงไม่นาน ปรากฏว่ามันกลับได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวจีนสูงมากจนหมดล็อตอย่างรวดเร็ว และทางค่ายก็ได้มีการทำตัวรถรุ่นมาตรฐาน ที่เป็นรุ่นสีล้วน ได้แก่ สีดำ, สีแดง, และสีขาว ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสีเมทัลลิคออกมา
โดยราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของตัวรถรุ่นนี้ในประเทศจีน มีตัวเลขเริ่มต้นที่ 218,800 หยวน หรือราวๆ 1,003,000 บาท ในรุ่น ST และขยับขึ้นเป็น 288,800 หยวน หรือราวๆ 1,323,000 บาท ซึ่งหากมันถูกวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยราคาเท่านี้ หรือสูงกว่านี้ไม่มากนัก ก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว