Home » ขี่ Honda Forza 350 วิ่งทริป กทม-กาญฯ วิ่งยาวๆ 400 กิโลฯ ไหวมั้ย ?
Motorcycle-Review คอมอเตอร์ไซค์

ขี่ Honda Forza 350 วิ่งทริป กทม-กาญฯ วิ่งยาวๆ 400 กิโลฯ ไหวมั้ย ?

แม้จะเคยทำการจัดทริปทดสอบในตัวจังหวัดพัทยากันไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าทาง Thai Honda จะรู้ว่านั่นยังไม่หนำใจสื่อฯเท่าไหร่นัก ทำให้พวกเขาเลือกที่จะจัดทริปทดสอบ 2023 Honda Forza 350 ใหม่อีกรอบ โดยคราวนี้เป็นทริปที่กินระยะทางไม่น้อยกว่า 300 กิโลฯ

โดยจากทริปก่อนหน้า ที่มีระยะทางในการวิ่งให้สื่อฯได้ทดสอบตัวรถเพียงสั้นๆ เพียงราวๆ 100 กิโลเมตร แถมยังเป็นการวิ่งสลับในตัวเมือง กับถนนเส้นหลักของพัทยาเพียงเล็กน้อย

ดังนั้น สำหรับโจทย์การวิ่งทริปทดสอบ New Honda Forza 350 ในครั้งนี้ ทาง Thai Honda ตั้งใจอยากจะให้สื่อฯได้สัมผัสถึงขีดความสามารถของเจ้ารถบิ๊กสกู๊ตเตอร์ยอดนิยมคันนี้ให้มากขึ้นไปอีกขั้น

โดยเน้นที่การใช้งานแบบบเดินทางไกลมากขึ้น และมีทั้งการวิ่งในช่วงรถติดเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะไปเจอกับเส้นทางตรงที่สามารถวิ่งยืนพื้นด้วยความเร็วเดินทางราวๆ 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แช่ยาวๆ

แล้วจึงไปจบการเดินทางวันแรกด้วยการขี่ขึ้น-ลง เขาชัน และโค้งแคบๆช่วงเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรีในท้ายที่สุด และวันขากลับก็คือย้อนเส้นทางเดิมเข้าจุดนัดหมายปิดทริปทดสอบในครั้งนี้

แน่นอน ด้วยเส้นทางที่หากมัดรวมไป-กลับกันแล้ว อยู่ที่ราวๆ 600 กิโลเมตร มันก็อาจจะไม่ได้ไกลมากนัก สำหรับเหล่านักเดินทางตัวจริง

แต่นั่นก็ถือว่าไกลพอสมควร สำหรับลูกค้าหลายๆคนที่ตัดสินใจซื้อ หรือกำลังจะซื้อรถ Forza 350 รุ่นใหม่ แล้วเกิดลังเลใจว่าเจ้าบิ๊กสกู๊ตเตอร์รุ่นนี้จะทำให้ผู้ขี่รู้สึกสะดวกสบายในการใช้งาน และสามารถวิ่งระยะทางไกลๆข้ามจังหวัดวันละ 300 กิโลฯได้ดีแค่ไหน ?

และเรา ผู้ทดสอบจากทีมงาน Ridebuster ก็ได้หาคำตอบมาให้ทุกท่านแล้วในครั้งนี้ แถมยังหาคำตอบในแบบบที่วิ่งเกินทริปเสียด้วย…

เพราะตามจริง ทาง Thai Honda ได้จัดให้สื่อฯแบ่งกันขี่รถออกเป็น 2 กลุ่ม นั่นคือกลุ่ม A ที่จะได้ขี่รถรอบช่วงเช้าของการเดินทาง ทั้งวันไปและวันกลับ ตามด้วย กลุ่ม B ที่จะได้ขี่รถในช่วงบ่าย ทั้งวันไปและวันกลับ

ดังนั้นกลุ่มหนึ่งจึงจะได้ขี่ทดสอบรถด้วยระยะทางราวๆ 250-300 กิโลฯ รวมไป-กลับ จากระยะทางจริงราวๆ 550 กิโลเมตรของทั้งทริป

ทว่าในวันที่สอง หรือวันขากลับ เกิดมีผู้ร่วมทริปท่านหนึ่ง ขอแยกจากทริปไปก่อน ทำให้ผู้ทดสอบจากทีมงาน Ridebuster ได้โอกาสในการขี่แบบยิงยาวในวันดังกล่าว ซึ่งมีระยะทางราวๆ 250 กิโลเมตร เมื่อรวมกับการขึ่รถในวันแรกที่กินระยะทางไปราวๆ 130 กิโลเมตรได้

จึงเท่ากับว่าในทริปนี้ ผู้ทดสอบได้ขี่รถไปอย่างน้อยก็เกือบๆ 400 กิโลเมตร เพียงคนเดียว…

วันแรกของการเดินทาง Thai Honda ได้มีการนัดหมายเหล่าสื่อฯให้เจอกันที่ศูนย์ Honda Big Wing Praram 5 ตั้งแต่ 7.30 น. เพื่อทำการแบบ่งกลุ่มและบรีฟเส้นทางให้กับผู้เข้าร่วมทดสอบ ซึ่งอย่างที่ระบุไว้ข้างต้นว่า ทีมงาน Ridebuster ได้ถูกจัดไปอยู่กลุ่ม A ที่ต้องขี่เป็นไม้แรก หรือช่วงเช้าถึงเที่ยง

ซึ่งหมุดหมายแรก หรือจุดเช็คอินแรกของเรา ก็คือการขี่รถจากวงเวียนพระราม 5 ไปยัง วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม โดยจะวิ่งผ่านเส้น นครอินทร์-กาญจนาภิเษก แล้วจึงวกเข้า ถนนบรมราชชนนี แล้วลากยาวไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงตัวเมืองจังหวัดนครปฐม

โดยระหว่างทางในช่วงแรกนั้น ต้องยอมรับว่าสภาพการจราจรแอบมีการติดขัดนิดๆ ทำให้ต้องโยกรถหักไปมาเพื่อมุดช่องต่างๆเพื่อฝ่าการจราจรออกไป ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกอาจมีติดขัดเรื่องมิติตัวรถบ้าง แต่เมื่อจับจุดได้ ก็จะพบว่าตัวรถนั้นสามารถมุดไปตามช่องจราจรต่างๆได้ค่อนข้างดี

จุดสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ด้วยความที่ตัวรถไม่ได้มีความตูดบาน เหมือนคู่แข่ง จึงทำให้หากเราสามารถมุดหัวรถเข้าไปได้แล้ว เราก็แทบไม่ต้องพะวงว่าท้ายรถเราจะไปขูดท้ายรถชาวบ้านมั้ยมากนัก เว้นเสียแต่ว่าช่องมันจะแคบจริงๆ โดยเฉพาะในจังหวะที่ต้องหักเลี้ยวเปลี่ยนช่องจราจรเป็นต้น

หรือหากเรามีปัญหาในเรื่องของกระจกมองข้างเกะกะ อันที่จริงเราก็สามารถพับเก็บมันเข้ามาได้ง่ายๆ ด้วยการจับที่ปลายกระจกแล้วดึงเข้าหาตัว เพียงเท่านี้ก็สามารถมุดได้ง่ายขึ้นแล้ว แต่ส่วนตัวผู้ทดสอบมองว่าหากคุณไม่ใช่คนที่กะระยะรถแม่นจริงๆ แนะนำให้กางกระจกมองข้างทิ้งไว้ตลอดเวลาจะดีกว่า เพราะมันคือจุดอ้างอิงที่ทำให้เราสามารถกะมิติตัวรถและช่องจราจรได้ง่ายที่สุดนั่นเอง

และหลังจากที่ได้ขี่รถไปพักใหญ่ จากนครปฐม ไปจนถึงจุดเช็คอินที่มาพร้อมโลเคชันสวยงามอย่าง โรงงานกระดาษ ไทยกาญฯ

อีกสิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ระหว่างทาง และต้องชื่นชมเช่นกัน ก็คือเรื่องความสะดวกสบายในการใช้งาน ทั้งท่านั่งที่มีความเป็นธรรมชาติ ด้วยเบาะนั่งที่ใหญ่เต็มก้น แม้ผู้ทดสอบจะเป็นมนุษย์หุ่นหมีหนัก 90 กว่ากิโลฯก็ตาม นอกจากนี้ตัวพนักขั้นกลางระหว่างเบาะตำแหน่งเบาะผู้ขี่และผู้ซ้อนก็ยังรับกับก้นกบผู้ขี่ได้เป็นอย่างดี

ในฝั่งแฮนด์บาร์ก็ไม่ได้มีความไกลตัวมากเท่าไหร่นัก แม้รถจะออกแบบไว้เผื่อคนไซส์ยุโรป ความกว้างของแฮนด์ก็อยู่ในระดับกำลังดีสามารถนั่งกางแขนขี่สบายๆได้ตลอดระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรโดยไม่เมื่อยเลยสักนิด เช่นเดียวกับพื้นที่วางขา ที่มีความกว้างกำลังพอดีสำหรับผู้ใส่รองเท้าเบอร์ 43

และยังสามารถขยับเท้าได้หลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นในท่าขี่ปกติขาตั้งชัน หรือแบบท่าเหยียด ที่อาจจะมีปัญหาสำหรับผู้ขี่ซึ่งสูงไม่ถึง 170 เซนติเมตรบ้าง เพราะเหยียดขาไม่ถึง แต่หากจัดมุมนิดหน่อย ก็สามารถขี่ได้สบายๆแล้ว

อีกจุดหนึ่งที่เราจะลืมไม่ได้เลยก็คือ เรื่องของวินชิลด์ไฟฟ้าที่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ง่ายๆด้วยปุ่มกดที่ประกับแฮนด์ซ้าย ซึ่งแม้ว่าการขี่ในประเทศไทย คนอาจจะชอบปรับลงต่ำสุดเป็นหลัก เพื่อให้ลมพัดเข้าหาตัวผู้ขี่ระบายความร้อนเสียบ้าง

แต่เนื่องจากทริปการขี่ของเราในครั้งนี้ อยู่ในช่วงหน้าฝน ซึ่งก็มีบางครั้งที่หยดน้ำแอบโปรยลงมา การปรับชิลด์หน้าขึ้นสูงสุดไว้ก่อน บวกกับบงานออกแบบดีไซน์ชิ้นส่วนด้านหน้าตัวรถใหม่ ทั้งแฟริ่งและไฟหน้า ที่แหวกลมได้ดีขึ้น ก็ช่วยลดโอกาสตัวเปียกไปได้ดีพอสมควรเช่นกัน เพราะมีกระแสลมวนบริเวณหน้าตัวผู้ขี่น้อยกว่าเดิม (อาจจะไม่มากแต่รู้สึกได้)

โดยหลังจากแวะถ่ายภาพพอหอมปากหอมคอ ณ สถานที่ประวัติศาสตร์ สมัยสงครามโลก เราก็ได้ขี่รถต่ออีกนิด เพื่อไปยังร้านอาหารแพแม่น้ำ เพื่อรับประทานอาหารเที่ยง และเปลี่ยนมือให้พี่ๆสื่อกรุ๊ป B หรือ ไม้สอง ได้มาขี่เจ้า Forza 350 ต่อ และเป็นอันจบทริป ของผู้ขี่กรุ๊ป A ในวันแรก

เมื่อเข้าสู่วันที่สอง คราวนี้ผู้ขี่กรุ๊ป A จะต้องขี่รถลงเขาจากที่พัก ซึ่งอยู่บริเวณเหนือเขื่อนศรีนครินทร์ไปราวๆ 20 กิโลเมตร และเนื่องจากเส้นทางในช่วงนี้ เป็นเส้นทางที่ต้องขี่แบบขึ้น-ลงเขา จึงทำให้เราสามารถจับสัมผัสในเรื่องความสามารถในการซับแรง ความคล่องตัว และความมั่นใจในการเข้าโค้งที่สามารถทำงานได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

กล่าวคือ ในฝั่งความสามารถในการพลิกเลี้ยวตัวรถเอง ก็สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ตามฉบับรถสกู๊ตเตอร์ ที่แม้จะมีน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ แต่ด้วยศูนย์ถ่วงที่ต่ำ จึงทำให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องความหน่วงในการพลิกเลี้ยวเท่าไหร่นัก แถมยังทำให้ตัวรถมีสมดุลที่ดีตอนวิ่งบนทางตรง

ส่วนการซับแรง อาจจะติดนิดหน่อยตรงที่ส่วนตัวผู้ทดสอบยังมองว่ามันไม่ได้มีความสามารถในการซับแรงสะเทือนที่ดีขนาดนั้น หากเจอกับฝาท่อ หลุม บ่อ ต่างๆ เราจะยังคงรู้สึกถึงแรงกระเทือนเหล่านั้นได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการขี่ในเส้นทางบนถนนที่ยังไม่พ้นตัวกรุงเทพฯ ที่มีแต่รอยปะถนน หรือฝาท่อซึ่งเป็นเหมือนแอ่งหลบลงไปจากระนาบผิวถนน เป็นต้น

แต่หากเป็นการขี่แบบยืนพื้นยาวๆ บนถนนหลวงข้ามจังหวัด จุดนี้ช่วงล่างของ Forza 350 ยังถือว่าถูกเซ็ทมาให้ทำงานค่อนข้างดี และด้วยช่วงล่างที่ไม่ได้ย้วยมากนัก จึงทำให้การเข้าโค้งในจังหวะต่างๆ โดยเฉพาะตอนที่ขี่บนเขา กลับให้ความสนุกสนาน และมั่นใจพอตัว

จุดที่ต้องระวังตอนเลี้ยวโค้งหนักๆ นอกจากพื้นผิวที่อาจจะมีฝุ่นทราย ก็คือ ในตอนที่ถนนดีจนน่าเล่นโค้งมากๆ คุณก็อย่าเผลอเอียงรถเยอะเกิน เพราะคุณอาจเลี้ยวรถเพลินจนขาตั้งคู่ของรถขูดพื้นได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าคุณช่ำชองก็อาจจะเลี้ยงองศาไว้ได้ แต่ถ้าคุณยังใหม่ แล้วพยายามกดรถต่อ มันจะงัดล้อหลังให้ลอย แล้วรถจะเสียอาการจนเกิดอุบัติเหตุตามมาได้ในทันที ซึ่งในความเป็นจริงนี่ถือเป็นขีดจำกัดที่ต้องเจออยู่แล้ว ของรถบิ๊กสกู๊ตเตอร์ที่ใต้ท้องรถค่อนข้างกว้าง

ส่วนการขี่รถในช่วงที่เหลือ อันที่จริงก็ไม่ได้มีจุดให้จับสังเกตอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถมากนัก เนื่องจากเป็นการขี่บนถนนทางตรงยาวๆ จนเข้าถึงตัวกรุงเทพฯ ช่วงราชพฤกษ์ ทว่ามันกลับมีอีกหนึ่งสิ่งที่เราลืมไปสนิท เพราะมันทำให้เราขี่เพลิน ขี่สบายจนตายใจ นั่นคือเครื่องยนต์ eSP+ 327cc ของมัน

อันที่จริงเครื่องยนต์ลูกนี้ใครหลายคนที่เคยสัมผัสมันมาตั้งแต่ Forza 350 ตัวแรก ก็คงได้รู้ซึ้งถึงสมรรถนะของมันอยู่แล้ว ว่ามีความจัดจ้าน ติดมือตั้งแต่รอบต้น จนถึงความเร็วปลายขนาดไหน และนี่คือสาเหตุที่เราต้องใช้คำว่า มันทำให้เราขี่เพลิน ขี่สบายจนตายใจ

เพราะหากเป็นการขี่บนทางราบปกติ เครื่องยนต์ลูกนี้ก็มีความนุ่มนวลในทุกย่านความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการขี่ที่ความเร็วต่ำ หรือความเร็วสูงๆจนมิดไมล์ โดยเราแทบไม่ได้รู้สึกถึงความสั่นสะท้านขึ้นมาถึงตัวผู้ขี่เลยสักนิด

แถมการเรียกอัตราเร่งในจังหวะต่างๆเอง ก็มีความนุ่มนวล แต่ต่อเนื่องยาวๆจนสามารถเร่งแซงรถช้าข้างหน้าได้อย่างหายห่วงไปจนถึงช่วงความเร็วราวๆ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และด้วยความที่เครื่องยนต์ลูกนี้ มีพละกำลังพร้อมให้เราได้เรียกใช้ทุกเมื่อ จึงทำให้ ในตอนที่เราขี่บนทางราบปกติ แล้วจู่ๆก็ไปเจอสะพาน เนิน หรือทางชัน ที่ต้องไต่ระดับความสูงขึ้นมา เราก็ใช้การเติมคันเร่งช่วยส่งเพียงนิดเดียว หรือบางทีอาจไม่ต้องใช้เลยก็ได้ แค่คลอคันเร่งไว้ระดับเดิมก็พอแล้ว

ส่วนการไต่ทางเขาที่มีโค้งซับซ้อนไปมาเป็นช่วงๆ ของถนนเลียบเขื่อนศรีนครินทร์เอง เครื่องยนต์ก็สามารถส่งแรงให้เราพ้นผ่านไปได้สบายๆ ไม่มีสักครั้งเลยที่ให้ความรู้สึกว่าต้องเค้นคันเร่งให้เมื่อยมือ

สุดท้ายคือเรื่องตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง ที่แม้ว่าเราจะไม่ได้วัดค่ากันอย่างจริงจัง แต่ด้วยการขี่แบบแอบมีบิดหมดปลอกกันบ้าง เนื่องจากเครื่องยนต์มีเรี่ยวแรงให้เล่นพร้อมสนุกอยู่ตลอดเวลา สลับกับการบิดชิลๆด้วยความเร็วเดินทางราวๆ 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แล้วยังมีการวิ่งด้วยความเร็วต่ำๆ ช่วงที่เจอการจราจรติดขัดหนักๆ ช่วงถนนบรมราชชนนี ขาเข้ากรุงเทพฯ เพราะการซ่อมแซมถนนอีกยาวหลายกิโลฯ เบ็ดเสร็จเป็นการวิ่งรวมเกือบ 300 กิโลเมตร ในวันขากลับด้วยตัวคนเดียว

ผลปรากฏว่าตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ขึ้นบนหน้าจอกลับมีตัวเลขที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว คืออยู่ที่ราวๆ 37 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งนี่ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีกว่าทั้ง Forza 300 และคู่แข่งที่มีเครื่องยนต์ความจุเล็กกว่าเสียอีก

เรียกได้ว่าแรงไม่พอ แถมยังประหยัดด้วย ถือว่าทาง Honda ออกแบบมาได้ดีจริงๆสำหรับเครื่องยนต์ eSP+ 327cc ลูกนี้

สรุปจากสัมผัสที่ได้ในการขี่ Honda Forza 350 รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นครั้งที่ 3 และยังรวมถึงการได้สัมผัสเครื่องยนต์ eSP+ 327cc ลูกนี้อีก 2 ครั้งก่อนหน้าในรุ่นก่อน รวมเป็น 5 ครั้ง เรียกได้ว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ผู้ทดสอบจะผิดหวังกับมัน

เพราะหากมองในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ เจ้า Forza รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ก็สามารถทำได้ดีในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายของท่านั่ง, ความกระฉับกระเฉงและความมั่นคงในการพลิกเลี้ยว, ชิลด์หน้าปรับไฟฟ้าที่สามารถปรับความสูง-ต่ำไปมาได้ทุกเมื่อ หรือพื้นที่เก็บของใต้เบาะสุดกว้างขวางที่เราไม่ได้เกริ่นถึงไปก่อนหน้านี้

โดยแม้ตัวระบบกันสะเทือนของมันอาจจะยังมีความกระด้างเวลาเจอหลุมหนักๆไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าจริงๆแล้วรถมันออกแบบมาเพื่อการวิ่งบนถนนดำเรียบๆเป็นหลักมากกว่า และสิ่งนั้นก็แลกมาซึ่งความสามารถในการเข้าโค้งที่มั่นใจ

สิ่งที่ดีที่สุดจริงๆคือเครื่องยนต์ของมัน ที่มีพละกำลังให้เรียกใช้ได้ทุกเมื่อ สามารถขี่ทางไกลได้แบบไม่เหนื่อย ไม่ต้องเค้น ซึ่งปกติแล้วเครื่องยนต์ที่มีคุณลักษณะแบบนี้มักจะมาพร้อมกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่กินสักหน่อย แต่เครื่องยนต์ที่อยู่ในเจ้า Forza คันนี้กลับประหยัดกว่าคู่แข่ง และรุ่นพี่ที่มีเครื่องยนต์ที่เล็กกว่าเสียอย่างนั้น

โดยหากท่านใด สนใจในตัวรถ Honda Forza 350 รุ่นใหม่ล่าสุด ก็สามารถสอบถามข้อมูลกับตัวแทนจำหน่าย และศูนย์บริการรถมอเตอร์ไซค์ Honda ทั่วประเทศได้เลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ด้วยราคารถแนะนำ เริ่มต้นที่ 179,000 บาท

ขอขอบคุณ Thai Honda ที่ให้เกียรติทีมงาน Ridebuster ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมทริปทดสอบ Honda Forza 350 ในครั้งนี้

ทดสอบ/เรียบเรียง : รณกฤต ลิมปิชาติ
ภาพ : Thai Honda

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.