ส่งท้ายปีนี้ หลายคน ดูจะอยากได้ รถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นคู่กายคู่ใจคันใหม่ หวังช่วยเซฟค่าน้ำมัน ที่แพงทะลุ 40 บาทหลายระลอกในปีที่ผ่านมา
ค่าน้ำมันแสนแพง นำมาซึ่ง เทมรนด์ วันนี้ฉันต้องมีรถยนต์ไฟฟ้า เราไม่ได้ขวางไม่ได้ห้าม สำหรับคนที่สนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า แต่ก่อน จะซื้อพวกมันมาใช้ เรามี 10 เรื่อง ควรรู้ หาก อยากจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
1.ระยะทางไม่แน่นอน
ประเด็นสำคัญอย่างแรก ต้องบอกก่อนว่า ระยะทางขับ รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ เป๊ะ ตามที่ผู้ผลิตแจ้งแต่อย่างใด เราไม่ได้บอกว่ าพวกเขาโกหก หากระยะทางต่อการชาร์จ ไม่ได้ต่างจากอัตราประหยัดน้ำมัน จากอีโค่สติ๊กเกอร์ กล่าวคือ เป็นการเคลมจากกระบวนการทดสอบ ซึ่งอาจจแทบไม่ได้เกิดจากการวิ่งในการทดสอบจริง
ระยะทางต่อการชาร์จ ปัจจุบัน ที่ทาง ค่ายรถยนต์ผู้ผลิตเคลม คือ NEDC ซึ่ง เป็นที่ทราบกันดีในหมู่รถยนต์ไฟฟ้าว่า มันค่อนข้างจะไม่ค่อยใกล้เคียงกับความจริง ประมาณ เคลม มา 100 ก.ม. วิ่งจิงจะได้ราวๆ 70-80 ก.ม.เท่านั้น
ดังนั้น ใครที่สนใจ ก็ตัดสินใจ เลือก รถยนต์ไฟฟ้า ที่ขนาดแบตเตอร์รี่ ระยะทางที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ของเราเอง
2.ค่าเดินทางถูก มาจากแหล่ง พลังงาน
รถยนต์ไฟฟ้า ต่างจากรถน้ำมัน คือ แหล่งพลังงานยิ่งถูก ค่าเดินทาง คุณก็ยิ่งถูกลงตามไปด้วย
ไฟฟ้าไม่เหมือนน้ำมัน ตรงค่าไฟฟ้า มีราคาไม่เท่ากัน จากการคิดคำนวนค่าไฟฟ้า ถ้าบ้านคุณใช้การจัดเก็บอัตราก้าวงหน้าค่าไฟหน่วยละเฉลี่ย 4.5 บาท กลับกัน ถ้าใช้ Tou (Time of Usage) Off Peak หรือ ช่วงเวลาคนใช้ไฟน้อย ค่าไฟจะเหลือราวๆ หย่วบละ 2 บาท เศษ ถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แต่ในกรณี คุณไม่ได้ชาร์จบ้าน แล้ว ตั้งใจว่า จะชาร์จข้างนอกเป็นหลัก ค่าไฟฟ้า หน่วยละเริ่มต้น 5.5 บาท ไปยัน 9.5 บาท ความแตกต่างนี้ จะเห็นผล ตอนคำนวนค่าเดินทาง
ปัจจุบัน รถไฮบริด บางรุ่น ทำค่าเดินทางได้ราวๆ 1 บาทปลายๆ ไปจนถึง 2 บาทต้นๆ และไม่เสียเวลาชาร์จ
3.มีค่าใช้จ่ายแฝง
ข้อนี้เป็นสิ่งที่ผมเจอ ทุกครั้ง เวลาทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า คือ มีค่าใช้จ่ายแฝง เสมอ
ค่าใช้จ่ายแฝง ที่ผมพูดถึงนั้น หมายถึง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกจากการชาร์จ ที่คุณ อาจจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจ่าย เวลาใช้รถ
ยกตัวอย่างเช่น คุณชาร์จรถ รอนาน คุณต้อง เข้าร้าน เซเว่น , กาแฟ อเมซอน หรืออื่น ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวกับตัวรถโดยตรง แต่คุณก็ต้องจ่ายด้วย ถ้าเทียบกับ การเติมน้ำมัน คุณเข้าปั้มเติมน้ำมันอย่างเดียวก็ได้
รถยนต์ไฟฟ้า ก็ทำได้เช่นกัน แต่ระหว่างนั่งเหงาๆ รอชาร์จรถ คุณก็คงต้องหากิจกรรมอะไรทำ และจุดชาร์จบางที ก็ใช่ว่า จะมีที่นั่งอย่างดีให้คุณรอชาร์จ
หรือ ถ้ารอบนรถ ระหว่างชาร์จ ก็เท่ากับ ค่าไฟที่คุณชาร์จ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรอด้วยนั่นเอง
4.ที่อยู่อาศัย ต้องพร้อม
ในอดีต เวลาเราจะซื้อรถก็คือรถ บ้านก็คือบ้าน แค่รถยนต์ไฟฟ้า ต้องพึงบ้านในการางระบบสถานีชาร์จส่วนตัวของคุณ
สำหรับบ้านยุคใหม่ ที่เพิ่งสร้างไม่นาน น่าจะไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมาย ในเรื่องนี้ แต่กับบ้านที่สร้างมานานหลายสิบปี การเดินวงจร มายังตู้ชาร์จ อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้ปัจจุบัน จะมีบริษัท รับคำปรึกษา และติดตั้งตู้ชาร์จ ผุดขึ้น จำนวนมาก ให้คำปรึกษษ โดยวิศวกร ผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ การติดตั้งตู้ชาร์จ ต้องมีการขยาย มิเตอร์ไฟฟ้าบ้าน โดยเฉพาะในเขตนครหลวง ให้เพียงพอกับการใช้งาน ของตัวบ้าน และตู้ชาร์จ เมื่อใช้พร้อมกัน ด้วย
นั่นทำให้ สำหรับคนที่อยู่คอนโดฯ จะไม่สามารถวางตู้ชาร์จของตัวเองได้ ต้องพึ่งตู้ชาร์จ สาธารณะ ถ้าคิดว่า ไม่เป็นไร ถือว่ าแวะทานข้าว ก็คงโอเค แต่ถ้าคุณต้องทำงาน แล้ว มาเสียเวลารอชาร์จรถ เืพ่อ จะประหยัดค่าใช้จ่าย ก้คงไม่สะดวกเท่าไร จริงไหมครับ
5.ชีวิตต้องวางแผน ตลอดเวลา
ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผมอยากบอกเลยว่า คุณจะกลายเป็นคนวางแผนชีวิต ทันที ฮ่าๆ
นั่น เพราะ ข้อจำกัด ของระยะทางต่อการชาร์จของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ เราต้องมองหาที่ชาร์จตลอดเวลา ไม่เหมือนปั้มน้ำมัน ที่จะขับไปที่ไหน พื้นที่ห่างไกลปืนเที่ยง ก็ยังพอมีให้เติมได้เสมอ
ด้วยเหตุนี้ เวลาเดินทาง คุณก็จะกลายเป็นคนวางแผน ขับไปตรงไหน ชาร์จตรงไหนได้ ชาร์จ กี่% ชีวิตคุณจะติดล๊อคไปเอง ในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ไม่มีใคร ขับรถยนต์ไฟฟ้า แล้วไม่คิดว่า เราจะไปชาร์จเอาข้างหน้าแน่นอน คนใช้ จะมีแอพพลิเคชั่นจำนวนมาก เพื่อส่องว่า ตรงไหน พร้อมสำหรับการชาร์จ
6.จำนวนที่ชาร์จยังไม่พอ
แม้ว่าจะขายมานานแรมปี แล้ว สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ต้องยอมรับกันตามตรงเลยว่า จำนวน สถานีชาร์จนั้นยังไม่พอ เมื่อเปรียบเทียบกับ จำนวนรถ ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งในปีนี้ น่าจะเป็ปีก้าวกระโดของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ด้วย
เราจึงเห้นปัญหา การทะเลาะ แย่งที่ชาร์จ มีดราม่า ทุกวัน ในกลุ่ม Thailand Club EV สะท้อนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
นี่เองเป็นส่วนสำคัญ ที่มองข้ามไม่ได้ และ ผม ถึงบอกให้คุณ ยังไงเสียควรมีที่ชาร์จที่บ้านไว้เป็นส่วนตัว เรื่องนี้จะไม่เกิด
7. ไม่ควรใช้รถจนแบตฯ ต่ำ
แม้ผมจะพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า ระยะทางเคลม เป็นการทดสอบจากผู้ผลิต ปัจจุบัน ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐ เข้ามาทดสอบ สร้างมาตรฐานในไทย
แต่ที่อยากจะบอกอีกเรื่องคือ คุณไม่มีทาง และ ไม่ควร จะใช้แบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้า จนอยู่ในระดับต่ำมากเกินไป
เหตุผล คือ แบตเตอร์รี่ในรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่น จะมีอาการแบตฯ วาร์ป คือ แม้ว่า จะมีเหลือ อยู่ 10% แต่ เมื่อขับๆไปแล้ว จะพบว่ าระดับพลังงาน ลดลง อย่างรวดเร็ว จนหมด และ ไม่สามารถ ขยับขับเคลื่อนรถได้
ข้อต่อมา คุณต้องเผื่อใจ สำหรับ กรณี ตู้ชาร์จ เสียชำรุด คิวไม่ว่าง ถ้าแบตคุณอยู่ต่ำมากไป คุณจะไม่มีทางเลือกเดินทางไป ที่อื่นได้
และในทางปฏบัติ จากผู้ผลิตแนะนำว่าไม่ควรให้แบตเตอร์รี่ อยู่ในระดับต่ำมาก เนื่องจากจะกระทบความสามารถแบตเตอร์รี่ในระยะยาวได้
จากทั้ง 3 เหตุผล จึงอยาก แนะนำ คนที่จะซื้อ หรือใช้รถยนต์ไฟฟ้าว่า ระดับแบตเตอร์รี่ ควรอยู่ในปริมาตร 15-20% เสมอ เผื่อใจ ไว้เหตุฉุกเฉิน และ เวลาเดินทางไกล ควรมีที่ชาร์จฉุกเฉินพกพาติดไปด้วย
8.ไม่เหมาะทำความเร็ว
ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ้นจะบอกคุณว่า มันแรงมาก 0-100 เร็วในระดับที่ทุกคนจะพูดว่า โอ้โห!! ยอดเลย ราคานี้เหมือนได้ รถซุปเปร์คาร์
แต่ผมในฐานะที่ขับทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า และใช้งานเองบ้างในชีวิตประจำวัน เรียนตามตรงว่า รถยนต์ไฟฟ้าไม่เหมาะ แก่การใช้งานทำความเร็ง ซิ่งซ่า เลย
ประเด็นสำคัญ คือ เมื่อคุรขับรถด้วยความเร็ว การกินพลังงานของมอเตอร์จะมากขึ้นตามลำดับ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ รถน้ำมันก็ไม่ต่างกัน ยิ่งซิ่งยิ่งซด
แต่รถยนต์ไฟฟ้า เมื่อพลังงานในแบตเตอร์รี่ไหลออกอย่างรวดเร็ว จะส่งผลถึง ประสิทธิภาพของแบตเตอร์รี่ในระยะยาว รวมถึงความสึกหรอของมอเตอร์ไฟฟ้าด้วย ครับ
9.แบตเตอร์รี่แพง … ต้องทำใจ
เป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า มีแบตเตอร์รี่ขับเคลื่อน ที่มีราคาสูงเอาเรื่อง ส่วนจะถูกหรือแพงขนาดไหน ขึ้นอยู่กับ เทคโนโลยีของตัวแบตเตอร์รี่ ขนาดความจุ และปัจจัยอื่นอีกมากมาย
ความเสียหายกับแบตเตอร์รี่ในการใช้งาน อาจจะมีการรับประกันจากทางผู้ผลิต สนับสนุน และครอบคลุมในจุดนี้ อยู่แล้ว ในแง่ของการเสี่ยงภัย ไม่ว่าจะเป็นภัยใดๆ ก็มี ประกันภัยคอยคุมครองดูแลอยู่แล้ว
แต่แม้ว่า จะมีความพยามปิดความเสี่ยงอยู่แล้ว เจ้ารถยนต์ไฟฟ้า เมื่อคุณเช็ค ราคาแบตเตอร์รี่มา ก็อาจรู้สึกได้ทันทีว่า โอ้โห ราคาของมันเอาเรื่องใช้ได้ เลย เป็นสิ่งที่คุณต้องลุ้นเอาว่า ระหว่างการใช้งานจะแจ๊คพอทรึเปล่า และ ถ้าไม่แจ๊คพอท พอคุณใช้งานเกินอายุไขแบตเตอร์รี่ เมื่อวันต้องเปลี่ยนเอง มาถึง มันจะราคาถูกลง หรือไม่ เป็นเรื่องของอนาคตอย่างเดียวเท่านั้น