ช่วงนี้หลายคนให้ความสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก เนื่องจากราคาน้ำมันที่แพง และ เทคโนโลยีใหม่ ก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้า สมควรจะเป็นรถยนต์ใช้งานในชีวิตประจำวันของหลายคน
แต่ เมทื่อจำนวนรถมีมากขึ้น ภาพต่างๆ ถูกบังตา จากราคาขายของรถ ที่มีผู้ผลิตวางจำหน่ย บางคนเทียบรถรุ่นหนึ่งกับ อีกรุ่นหนึ่ง ด้วยความเข้าใจว่า รถยนต์ไฟฟ้าก็ คือรถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีคลาส ไม่มีชนชั้น แค่มอเตอร์ แบตเตอร์รี่ วิ่งได้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่จริงไม่ใช่แบบนั้น
อันที่จริง เรื่องนี้มีการคุยกันมานานในต่างประเทศ หลังจากที่รถยนต์ไฟฟ้าบูม ว่า มันควรถูกแบ่งเพื่อลูกค้าจะได้ เข้าใจถูกต้อง ซื้อรถได้ตรงตามโจทย์ของตัวเอง ซึ่งจริงๆ ไม่มีหลักการอะไรชัดเจนเป็นชิ้นเป็น แต่เพื่อ ให้คุณเข้าใจง่ายที่สุด เราจะใช้ ช่วงราคา ผสานกับขนาดตัวรถ ตามหลักการแบ่งดั้งเดิม ทำให้ คุณเข้าใจว่า รถคันนั้น อยู่ตรงไหน ของตลาดในวันนี้
***รถที่นำมาจัดในบทความนี้ จะต้องมีตัวแทนจำหน่าย อย่างชัดเจจ ในประเทศไทย เท่านั้น ไม่รวม รถที่มาจากผู้นำเข้าอิสระ
City / Urban EV
กลุ่มแรก คือกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับใช้ขับขี่ในเมือง เป็นหลัก หัวใจสำคัญ คือ มันมัก มีความเร็วสูงสุด ไม่เกิน 120 ก.ม./ช.ม.ใช้แบตเตอร์รี่ขนาดไม่ใหญ่มาก และไม่ได้เน้นระยะทางต่อการชาร์จมากนัก โดยมากจะอยู่ในช่วง 200-400 ก.ม./การชาร์จ
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ใช้ ขับจากบ้านไปที่ทำงาน และขับกลับบ้าน เป็นหลัก อาจจะเถลไถล ได้นิดหน่อย บ้างเล็กน้อย
จุดสังเกต = รถจะมีราคาค่อนข้างถูก ประมาณ 4-6 แสนบาท ขนาดไม่ใหญ่ มาก และ โดยส่วนใหญ่ จะไม่รองรับการชาร์จในระบบ DC (มีบ้างบางรุ่นที่รองรับการชาร์จในระบบดังกล่าว)
รถที่อยู่ในกลุ้มนี้ มี
- FOMM ONE
- NETA V (เป็นรุ่นเดียวที่มีระบบชาร์จ DC)
- VOLT
- pocco
- Wulling Air
Mass Market EV
ตลาดในลำดับถัดมา เป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ระดับ Mass Market คือ เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ไม่ได้เน้นแค่ใช้ในเมืองเท่านั้น ลูกค้า สามารถขับใช้งานมันได้ทั่วไป เหมือนรถยนต์ปกติหนึ่งคัน มีขนาดใหญ่กว่า กลุ่มแรก พอสมควร และมีกำลังมอเตอร์ ตั้งแต่ 90 แรงม้าขึ้นไป รวมถึง แบตเตอร์รี่มีขนาดใหญ่กว่า 40 KWh ขึ้นไป
จุดสังเกต อีกอย่าง รถกลุ่มนี้ จะมีความสามารถรองรับการชาร์จ 2 รูปแบบ คือ ทั้ง AC และ DC แต่จะไม่เร็วแบบเว่อร์วังเหมือน รถระดับสูงกว่านี้ และความเร็วสูงสุดจะไม่สูงมากเท่าไรนัก โดยมากจะไม่เกิน 170 ก.ม./ช.ม.
รวมถึง ราคาค่าตัวรถจะเริ่มจาก 8 แสนกลางๆ ไปจน ไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจจับต้องได้ง่าย
ปัจจุบัน รถกลุ่มนี้ มีผู้ผลิตจากประเทศ จีนเข้ามาเล่นเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า และยังมีสิทธิทางภาษี ช่วยทำให้ราคาถูกว่า จากประเทศญี่ปุ่นด้วย
B-Segment
- BYD Dolphin
C-Segment
- Nissan LEAF
- MG 4
- MG ES
- ORA Good CAT
C-SUV Segment
- MG ZS EV
- BYD Atto 3
- Honda e:NP
D-Segment
- Toyota BZ4X
High End EV
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มนี้ จะมีจุดที่ต่างจากกลุ่ม Mass Market ตรงความสามารถของรถ จะมากกว่า รถแบบก่อนหน้านี้
ไม่ว่าจะกำลังขับของมอเตอร์ไฟฟ้า ,ความเร็วสูงสุด ที่สามารถขับขี่ได้ รวมถึง ยังมีระยะทางต่อการชาร์จก็มากกว่า ไปจนถึง การรองรับความเร็วในการชาร์จ อาทิ ระบบการชาร์จ AC อาจจะรับได้11 KW จาก 7 Kw หรือ จะเป็นการชาร์จ DC รองรับได้สูงสุด มากกว่า 100Kw ขึ้นไป
จุดสังเกต อีกอย่าง ก็คือ ราคา ที่ดีดตามความสามารถของตัวรถมากขึ้น ไปด้วย บางรุ่นแพงจากระยะทางต่อการชาร์จ , บ้างสมรรถนะ บ้างระห่ำ 300-400 แรงม้า มอเตอร์เดี่ยว – คู่ แล้วแต่รุ่นตามความต้องการ
รถกลุ่มนี้ บางรุ่นมีราคาแพงมาก จนใกล้กับกลุ่มระดับบน แต่ยังมีราคาไม่แพง หนักเกินไป จนยากจะซื้อหา ราคารถกลุ่มนี้ จะเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาท ไปจนถึง 5 ล้านบาทกลาง แล้วแต่ความสามารถของรถ
จึงมักพบว่า รถกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายยุโรป และ แบรนด์หรูมากกว่า แบรนด์จากจีน และเริ่มมีทางเลือกหลายแบรนด์มากขึ้น
- Tesla Model 3 / Model Y
- Volvo XC40 / Volvo C40
- Volvo EX 30
- MG Maxus 9
- Lexus RZ450e
- BMW ix3
- Mercedes EQB
- BMW IX
- Audi E Tron
- BMW i4
Ultra High End / Luxury EV
สำหรับกลุ่มบนสุดของห่วงโซ่ของ รถยนต์ไฟฟ้า คือกลุ่มนี้ สมรรถนะ คือที่สุดของที่สุด เรียกว่า แรงระดับ ซุปเปอร์คาร์ หรือบางคันก็หรูหราไฮโซ เทคโนโลยีจัดเต็ม เน้นขีดสุดของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าในวันนี้
ทำให้ราคาของรถกลุ่มนี้ มักจะเริ่มต้น ที่ 6 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อนำเสนอ ความเพอร์เฟค ของรถยนต์ไฟฟ้า ได้เต็มความต้องการ ไม่มีปัญหา ทั้งในแง่ สมรรถนะในการขับขี่และระยะทางต่อการชาร์จ
ปัญหาเดียวคือ ราคาของมันนั้น สุดขั้ว จน น้อยคนจะซื้อรถกลุ่มนี้
- Mercedes EQS
- Porsche Taycan
- Audi E-tron GT Quattro
- Lotus Electre
- BMW i7
จากทั้งหมด คงจะเห็นแล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้า แต่ละแบรนด์นั้น มีการวางตำแหน่งสินค้าตัวเอง เอาไว้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า คุณมองหาอะไรจากรถคันนั้น หากจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ก็ดูที่เหมาะสม กับการใช้งาน ของเรา บางทีก็ช่วงเซฟเงินในกระเป๋าได้พอตัว