ตั้งแต่กระแส EV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า ได้รับความสนใจ ชื่อเสียงเรียงนามของ Tesla ก็กลายเป็นที่รู้จัก และทำให้ สาวกชาวไทย หลายคน ต่างมองหา
การเข้ามาของแบรนด์ เทสล่า กว่าปีที่ผ่านมา ได้รับความสนใจ และในปีนี้ ทางแบรนด์ ส่ง Tesla Model 3 รุ่นใหม่ เข้าทำตลาดในบ้านเรา ทันควัน จนทำให้สาวกชาวไทยหลายคนสนใจกับการเปลี่ยนแปลง ในรถเก๋งอีวี ที่ถือเป็นรุ่นยอดนิยมของแบรนด์
ตัวรถรุ่นนี้ ถูกเรียกว่า Tesla Model 3 Highland หรือ อาจจะกล่าวว่า มันคือ Tesla Model 3 Facelift พูดง่ายๆ คือ รุ่นปรับโฉม ไมเนอร์เชนจ์นั่นเอง
การกลับมาครั้งนี้ ทางเทสล่า จัดการปรับภาพลักษณ์รถ ให้มีความทันสมัยตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น โดยเน้นไปในภาพลักษณ์ความสปอร์ต ด้วยการปรับตัวรถทั้งคัน เริ่มจากทางด้านหน้าที่มีการเปลี่ยนไฟหน้าใหม่ที่มีความปราดเปรียว ดูน่าใช้งานมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ตาถูกหยีให้เล็กลง แต่การส่องสว่างยังดีเหมือนเดิม
เช่นกัน ไฟหน้า ฝากระโปรงหน้า และ ช่วงซุ้มล้อถูกเปลี่ยนใหม่ เพื่อให้ ตอบสนองดีขึ้นต่อเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์ จนรถรุ่นนี้ มีค่าสัมประสิทธิ์เสียดทานอากาศต่อลง เหลือเพียงราวๆ 0.219 Cd เท่านั้น
ช่วงห้องโดยสารยังคงงานออกแบบไว้เหมือนเดิม เพิ่มเติม ด้วยหลังคากระจกขนาดใหญ่ข้างบน ทำให้ แสงเข้าห้องโดยสารมากขึ้น รู้สึกโปร่งโล่งสบายหัว แต่กับเมืองไทยในหน้าร้อน ที่อากาาศ ทะลุ 35 องศาเซลเซียส เอาง่ายๆ ยังยากจะตอบว่า มันจะร้อนหัวเป็นห้องกระจกเคลื่อนที่หรือไม่
ในส่วนด้านท้าย ปรับปรุง ฝาท้าย ให้มีคมสัน มากขึ้น โดยมีการปั้ม สปอร์ยเอลร์ ขึ้นรูปกับฝาท้ายมาในตัวเลย เช่นกันไฟท้ายปรับกราฟฟิกใหม่ งวดนี้ออกแบบ มาเป็นเขี้ยวมากขึ้น ยิ่งเสริมภาพลักษณ์สปอร์ต
ทางด้าน ชุดล้อติดรถมาตราฐาน จะเป็นขอบ 18 นิ้ว แต่คันที่เราได้มาทดสอบ ถูกแต่งเป็นล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ลาย Nova มาพร้อมยาง Hankook ion EVO ยางรถยนต์ไฟฟ้า ติดตัวมาจากโรงงานด้วย
ที่จริงล้อลายนี้ค่อนข้างสวยน่าใช้งานไม่น้อย ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่ถูกใจ นั่นคือ จุ๊บลมนั่น มีช่องเติมค่อนข้างพอดี แม้ว่าจะมีสาวก เทสล่าแอบกระซิบมาว่า ตรงนี้มันสามารถถอดออกได้ แต่ความจริงเวลาคุณเจอรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ที่มีล้อลายคล้ายๆกัน มันดูจะเติมสะดวกกว่า ครับ โดยไม่ต้องมาวุ่นวายถอดอะไร
เมื่อย่างกลายมาในห้องโดยสาร ขึ้นมาครั้งแรก อาจนั่งงง อยู่พักใหญ่ เพราะสิ่งที่คุ้นเคยหายไป 2 อย่า งนั่น คือ คันเกียร์ และ ก้านไฟเลี้ยว จนแอบงง ในตอนแรก แล้ว จะขับรถคันนี้อย่างไร
แล้วมันไปอยู่ตรงไหน คันเกียร์ ถูกโยกไปไว้ในชุดจอขนาด 15.4 นิ้ว ส่วนไฟเลี้ยวเปลี่ยนมาอยู่บนพวงมาลัยฝั่งซ้าย เช่นเดียวกับไฟสูง ก้านปัดน้ำฝนเอง ก็หายไปเช่นกัน เปลี่ยนมาอยู่บนพวงมาลัย ทางฝั่งขวาด้วย กว่าจะทำความเข้าใจ ก็ใช้เวลาพักใหญ่
จนแอบคิดไม่ได้ว่า สมมุติ บ้านคุณ มีรถหลายคัน มีเทสล่า คันนี้จอดอยู่ในบ้าน ใช้สลับกับรถดั้งเดิมที่เราคุ้นเคย เวลาสลับรถ ต้องนั่งจูนสมองอีกพักใหญ่ ก่อนจะใช้งานได้ชินยิ่งออกถนน เปิดไฟเลี้ยว ผิด/ถูก กลายเป็นเพื่อนร่วมทางกร่นด่าอีก แต่ถ้าทั้งบ้านมีเจ้านี่คันเดียว ปัญหานี้ น่าจะไม่เกิดเท่าไร
กลับมาว่าที่ตัวรถต่อบ้าง เฉกเช่นเดิม เทสล่า พยายาม ยัดทุกอย่างไปไว้ในจอ 15.4 นิ้ว ข่าวดี คือ จอนี้ใช้งานติดมือ และค่อนข้างเร็ว ทันอกทันใจ
สำหรับ คนที่ไม่เคยผ่าน เทสล่า ก็จะงง ในช่วงแรกๆ แต่ส่วนติดต่อผู้ใช้ ออกแบบมาดี เข้าใจง่าย ใช้งานไม่ยากเท่าไรนัก อาจต้องลองหาเวลานั่งเล่นนั่งจิ้มดูบ้าง แต่ อะไรหลักๆ ก็จะอยู่จุดที่เราเข้าถึงง่าย มี shortcut Key ให้เราเข้าใช้งานสะดวกรวดเร็ว
ชุดจอ ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณในรถคันนี้ กลายเป็นศูนย์รวมการใช้งานทุกอย่าง ตั้งแต่การขับ ความบันเทิง การเชื่อมต่อ ไม่เว้นกระทั่งแผนที่การนำทาง
จากจอ มาคุย กันเรื่องการโดยสารบ้าง เบาะนั่งของ Tesla Model 3 Highland ทุกตำแหน่ง ทำเบาะรองนั่งออกมาสั้น เหมือนกันหมด
ยังดี ในตำแหน่งตอนหน้า จะนำเสนอพนักพิงหลังขนาดใหญ่ พยายาม จะดูทำเป็นทรงสปอร์ต แต่ยังไม่โอบกระชับเท่าไร หัวหมอน ถูกออกแบบ เป็นเหมือนชิ้นเดียวกับตัวพนักพิงหลัง ไม่สามารถปรับได้
ในส่วนเบาะนั่งหลัง ออกแบบ มาเป็นเบาะนั่งขนาดใหญ่ นั่งสบายในระดับหนึ่ง จุดเด่นอยูตรง ที่วาวขา ค่อนข้างเยอะ จึงรู้สึกว่ามันค่อนข้างกว้าง เบาะนั่งหลัง ทีแรก ผมคิดว่า มันไม่มีที่เท้าแขน แต่ได้รับคำตอบจากสาวกว่า ต้องเปิดออกมาทั้งชิ้นเลย น่าจะมาสไตล์คล้าย Nissan X-trail 2.5
สมรรถนะและการขับขี่
ทางด้านสมรรถนะและการขับขี่ , รถ Tesla Model 3 Highland คันที่เรา นำมาขับทดสอบในครั้งนี้เป็นตัว Long Range ราคาสุทธิ อยู่ที่ 1,899,000 บาท เป็นค่าตัว
สิ่งที่ผมเซ็งกับเทสล่า อยู่ข้อ คือ พวกเขาไม่กล้าบอก สมรรถนะของระบบขับเคลื่อนที่แท้จริง ผิดกับค่ายจีนที่บอกแรงม้า แรงบิดครบๆ จบๆ เคลียร์ๆ กันไปเลย
ที่แน่ๆ ผมได้รับการยืนยันว่า เรื่องพลังขับของรถคันนี้ ไม่ต่างจากรุ่นก่อนปรับโฉม มันยังคงใข้มอเตอร์ตัวเดียวกัน
ในรุ่น Long Range มาพร้อม มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว วางอยู่ทางด้านหน้า และหลัง เป็นรถยนต์ไฟฟ้าไม่กี่รุ่นที่ใช้คำว่า Long Range แต่ให้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ติดมาด้วย
แม้พลังขับ เราจะไม่แน่ชัดว่ามีกำลังขับเท่าไรอย่างไรกันแน่ แต่ที่ชัดๆ คือรถรุ่นนี้มีอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. 4.4 วินาที ตามที่เทสล่าเคลม จากการลองทดสอบ ขับจริงบนถนนเมืองไทย ผมพบว่า อัตราเร่ง 0-100 ของรถรุ่นนี้อยู่ที่ราวๆ 4.7 วินาที กับการนั่งคนเดียว ซึ่งถือว่า ค่อนข้างจะแรงเอาเรื่อง
แต่หาก เปรียบเทียบกับแมวน้ำ ที่เคยลองทดสอบอัตราเร่งมาแล้วก่อนหน้านี้ ต้องพูดตามตรงว่า เรื่องพลังขับ Tesla Model 3 กับ ทำอัตราเร่งน้อยกว่า ของคู่แข่ง
และอีกอย่าง ความเร็วสูงสุดของ รถรุ่นนี้ลดลง เหลือเพียง 201 ก.ม./ช.ม. ก็ทำให้ ความหวือหวา เรื่องสมรรถนะที่มีชัยเหนือค่ายจีน ถูกทอนศักดิ์ศรีลงไป
ด้านโหมดการขับขี่ หรือ โหมด คันเร่งมีมาให้ 2 โหมด คือ ชิล แกับมาตรฐาน ผมแนะนำว่า ขับทั่วไป ใช้ชิลก็พอ เหลือเฟือ แต่ถ้าอย่างซิ่งใช้มาตรฐาน มันก็พร้อมปล่อยพลังขับมาให้คุณได้สนุกสนานบนถนน
แม้ว่า เรื่องอัตราเร่ง และพลังขับจะน้อยกว่า หากส่วนที่ผมชอบจริงๆ และว่าลงตัวที่สุดในมวลหมู่ ซีดานกลางไฟฟ้า ที่มีขายในวันนี้ ต้องยกให้ระบบกันสะเทือน ที่เซทมาอย่างลงตัวพอดี
อาการช่วงล่าง ของ Tesla Model 3 ค่อนข้างจะตอบการใช้งานลงตัว มีความเฟิร์ม และนุ่มสบาย ขับธรรมดา ก็ไม่ตึงตังมากเกิน เหมาะต่อการใช้งานในเมือง พอใช้ความเร็วกับการเดินทางไกล อาการช่วงล่างก็ให้ความมั่นใจกับการขับขี่ และการโดยสาร แม้ว่าจะดูเหมือนกับเก็บพวกร่องรอยถนนขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังดีกว่า ไม่มั่นใจเวลาขับขี่ จนรู้สึกไม่อยากขับรถ
ถึงช่วงล่างจะค่อนข้างดูสปอร์ตตอบโจทย์สมกับภาพลักษณ์รถที่เปลี่ยนมาทางสปอร์ต หากการเซทพวงมาลัย Tesla Model 3 กลับให้ความรู้สึกแปลกไปสักหน่อย
พวงมาลัยของรถคันนี้มาแปลก เป็นพวงมาลัยที่ค่อนข้างมีน้ำหนักแต่ไม่คม ยิ่งใน “โหมดเบา” คุณจะได้ความคล่องตัวมากเป็นพิเศษ อาจเหมาะกับการใช้งานในเมือง เป็นหลัก ส่วนโหมดมาตรฐน ก็จะมีน้ำหนักมากขึ้นนิดหน่อย แต่ระยะหรีเท่าเดิม นับเป็นพวงมาลัยที่ค่อนข้างให้ความรู้สึกแปลกประหลาด
พวงมาลัยมาเข้าที่เข้าทางหน่อย ก็เป็น “โหมดสปอร์ต” อาการพวงมาลัย จะค่อนข้างหนัก และมีระยะฟรีน้อยลง ได้ความรู้สึกสปอร์ตลงตัวกับ ช่วงล่างและพลังขับ
การชาร์จและแบตเตอร์รี่
ใต้เรือนร่างของ Tesla Model 3 2024 มาพร้อม แบตเตอร์รี่ขนาด 84.6 Kwh ทางเทสล่าเคลมระยะทางต่อการชารจ 629 ก.ม./การชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP
จากการทดลองขับจริงของเรา พบว่า อัตราการบริโภคไฟฟ้า ในการขับด้วยความเร็ว 110-120 ก.ม./ช.ม.นั้น จะกินไฟอยู่ที่ 5.38 ก.ม./ กิโลวัตต์
หากนำมาคำนวน กับปริมาตรแบตเตอร์รี่ทั้งหมด จะมีระยะทางประมาณ 450 ก.ม. ต่อการชาร์จเท่านั้น จากการใช้งานจริง ตามการทดสอบ อาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็มาพอสมควร ในระดับที่น่าพอใจ และหากเป็นการใช้งานในเมือง ระยะทางก้น่าจะมากกว่านี้ พอสมควร
ทางด้าน ความเร็วในการชาร์จ เท่าที่ ทดสอบ กับ ตู้ Tesla Supercharge พบว่า การเติมไฟฟ้าค่อนข้างเร็วใช้ได้ โดยในช่วงแรก จะมีเร่งความเร็วเต็มที่ ในช่วง ก่อนถึง 40% แรก
ผมมีโอกาส ลองชาร์จ ที่เซ็นทรัล อยุธยา พบว่า ความเร็วสามารถสูงถึง 140 Kwh ในช่วงแรก และ หลังจากช่วง 50% จะลดลงเหลือเพียง 70 Kwh และลดลงตามอุณหภูมิแบตเตอร์รี่ รวมถึง ปริมาตรประจุ อันเป็นปกติ ของรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทุกยี่ห้อ
ในการทดลองชาร์จ กับ ตู้ปกติ ของ PTT EV Station เราพบว่าความเร็วน้อยกว่า ในระดับหนึ่ง เนื่องจากความเข้ากันของระบบ โดยเฉพาะช่วงแรก จะค่อนข้างน้อยกว่าเป็นเท่าตัวแต่ในช่ว งแบตเตอร์รี่หลัง 50% ขึ้นไป มีความต่างกันราวๆ -10 Kwh โดยประมาณ
นั่นก็มีส่วนจากหลายปัจจัย เช่น ตู้ชาร์จ อยู่กริด Low Priority หรือไม่ หรือ มีรถชาร์จร่วมรึเปล่า เนื่องจากตู้ PTT มีความแตกต่างจากตู้ปกติ ตรงตู้ชาร์จนั้น จะค่อนกระจายไฟไปยังหัวจ่ายอื่นๆ ด้วย ส่วนของ เทสล่า จะเป็น 1 หัวชาร์จ ต่อตู้ ไม่แบ่งใคร
สรุป Tesla Model 3 Highland Long Range ดีขึ้นทุกด้าน ถ้างบถึง ควรจัด
นี่เป็นครั้งที่ สองที่เทสล่า ให้รถ กับเรามาขับ แม้ว่า พออ่านรีวิวแล้ว อาจจะรู้สึกว่าผู้เขียน มิได้ ประทับใจตัวรถสักเท่าไรในบางมุม และ เหมือนเราไม่ค่อยสบอารมณ์ กับเทสล่า
แต่อย่าให้ สิ่งที่ผมสื่อสารข้อเท็จจริง ออกผ่านรีวิวนั้น ทำให้คุณเข้าใจผิด “ผมประทับใจเทสล่าคันนี้” มันเป็น เทสล่าที่ครบเครื่องกลมกล่อมลงตัว โดยเฉพาะการทุ่มเท การทำงานเรื่องระบบกันสะเทือน ทำให้ผม ประหลาดใจไม่น้อย
เทสล่า พยายามปิดช่อง ส่วนที่เขาคิดว่าเป็นจุดอ่อน และพวกวิศวกรหัวกระทิ ทำหน้าที่ได้ดี จนรถลงตัวในทุกด้านการขับขี่
อย่างเดียวที่ผมยังว่าต้องปรับปรุง คือ พวงมาลัย ที่ยังทำได้ไม่ดีนัก .. ในการขับขี่ทั่วไป กลับกัน เมื่อปรับเป็น “สปอร์ต” มันก็ดูเข้าท่าไม่น้อย ทุกอย่างลงตัวขึ้น จนกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับสนุก แบบที่คุณไม่ต้องคิดว่า ออกจากโชว์รูม แล้ว ต้องไปแต่งช่วงล่างที่ไหนต่อดี
เทสล่า คันนี้ เป็นรถ เจ็บแต่จบ สำคัญสุดคุณได้ขับเทสล่า ความฝันชนชั้นกลางของใครหลายคน แม้มันจะไม่ใช่แบรนด์หรูพรีเมียม ก็ตามที
แถมยังมีระบบชาร์จของตัวเอง ไม่ต้องไปตบตีกับ ค่ายอื่น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
สิ่งเดียวที่ขัดขวางคุณ กับการเป็นเจ้าของ เทสล่า คือ ราคาที่เหยียบไปยัง 1.9 ล้านบาท นับว่าเอาเรื่องอยู่พอตัว กับรถขนาดนี้ มันแพงกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน ราวๆ 4-5 แสนบาท โดยประมาณ ถือเป็นราคาที่คุณต้องใจ
อีกอย่าง ต้องยอมรับ เรื่อง After Service ที่ยังกระจุกตัว อยู่ที่ กทม. ไม่มีมีศูนย์ที่อื่น การซ่อมสีและตัวถัง ถึงจะมีจากอู่ฝีมือระดับแถมหน้าเยอะขึ้น แต่ก็ยังยังไม่เพียงพออยู่ดี
ถ้า 2 ข้อ นี้มิใช่ปัญหา อยากได้ เทสล่า ก็จัดไปครับ มันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ดี คันหนึ่งเลย