แม้ในตอนนี้ทิศทางการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจะแผ่วลงจนน่าแปลกใจ จนหลายค่ายต่างพากันพิจารณาแผนการตลาดใหม่ ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Honda จากการให้ข้อมูลในงานแถลงข่าวล่าสุด
จากการเปิดเผยข้อมูลในงานแถลงข่าวผลประกอบการของไตรมาสแรกปี 2024 นาย Toshihiro Mibe ผู้บริหารสูงสุดของ Honda คนปัจจุบัน ระบุว่าบริษัท มีแผนจะเพิ่มงบลงทุนกว่าเท่าตัว ในโปรเจ็กท์การพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้าของตนเอง แม้ว่าในตอนนี้กระแสยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดใหญ่ๆอย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา และเหล่านานาประเทศในทวีปยุโรปจะเติบโตช้าลงอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม
โดยสาเหตุสำคัญที่ทาง Honda ตัดสินใจทุ่มงบลงทุนในโปรเจ็กท์นี้เพิ่มเติมเป็นเท่าตัวจนคาดว่า นับตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมาจนถึงปี 2031 พวกเขาอาจใช้งบไปกว่า 10 ล้านล้านเยน หรือราวๆ 2.33 ล้านล้านบาท ทั้งๆที่รายได้ของพวกเขาในปีที่ผ่านมา มีตัวเลขแค่เพียง 1.12 ล้านล้านเยน หรือราวๆ 260,000 ล้านบาท เท่านั้น
นั่นก็เป็นเพราะทางค่ายยังคงเชื่อว่าขุมกำลังไฟฟ้าคือทางออกที่ดีที่สุด ได้ผลที่สุดของโลกยานยนต์รวมถึงรถมอเตอร์ไซค์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการใช้ขุมกำลังไฟฟ้าล้วนแบบ BEVs หรือ FCEVs
จึงทำให้แผนการผันตัวเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 100% ในปี 2040 ของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะนับเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ขนาดเล็กเท่านั้น ส่วนยานยนต์ขนาดใหญ่ และกลุ่มยานพาหนะทางน้ำ อาจจะเปลี่ยนไปใช้ขุมกำลังที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงยั่งยืน (น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์) แทน เนื่องจากเหมาะสมกับการใช้งานมากกว่า
นอกจากนี้ ทางบริษัทยังระบุอีกว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาต้องทุ่มงบหลัก 10 ล้านล้านเยน ก็เป็นเพราะพวกเขาต้องการที่ใช้งบกว่า 6 ล้านล้านเยนจากที่ระบุไว้ข้างต้น ไปพัฒนาแบตเตอรี่ขึ้นมาเอง สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง รวมถึงการพัฒนาโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบใหม่ ในชื่อ Megacasting ซึ่งคล้ายคลึงกับโรงงาน Gigacasting ของทาง Tesla
ซึ่งหากเป็นไปได้ด้วยดี มันจะช่วยลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ในสหรัฐอเมริกาได้กว่า 20% และยังสามารถลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ทั้งคันได้อีกกว่า 35%
และไม่ใช่แค่เพียงการผลิตเท่านั้น แต่ทางค่ายยังจะใช้เงินลงทุนอีก 2 ล้านล้านเยน ไปกับการหาแหล่งวัตถุดิบ และขยายทางเลือกในการหาวิธีเวียนวัฏจักร (Recycle) ของตัวแบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่เหตุผลในด้านการลดต้นทุนเท่านั้น แต่เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระบบการผลิตที่ดียิ่งขึ้น
ส่วนอีก 2 ล้านล้านเยนสุดท้าย ก็จะถูกใช้ไปกับการพัฒนาระบบซอฟท์แวร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง ที่พวกเขาจะเป็นคนพัฒนาขึ้นมาเอง
เท่ากับว่าใน 10 ล้านล้านเยน จะถูกแบบเป็นการทุ่มงบไปกับการลงทุนแล้วกว่า 5 ล้านล้านเยน และอีก 5 ล้านล้านเยน คือเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
นอกจากแผนงานด้านการลงทุน ในส่วนของแผนงานการทำตลาดตัวรถ หากเป็นแผนงานในระยะสั้น ทางค่ายจะทำการผลักดันยานพาหนะในกลุ่มขุมกำลังไฮบริดให้มากขึ้นโดยจะมีการเปิดตัวระบบขุมกำลัง e:HEV แบบใหม่ออกมาอีก 2 รูปแบบ (ซึ่งยังไม่ระบุว่าจะเป็นแบบไหน ทำงานอย่างไร) และมีการเปิดตัวระบบขับเคลื่อน e-AWD ออกมาด้วย (ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อทั้ง 4 และมีเครื่องยนต์ไว้ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นไฟเท่านั้น เหมือนระบบ ePower ของ Nissan)
และทางค่ายก็ระบุว่าจุดสูงสุดของรถยนต์ขุมกำลังไฮบริดจากแบรนด์ จะอยู่ในช่วงปี 2029-2030 หลังจากนั้นจะค่อยๆลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ (และผลักดันยานพาหนะขุมกำลังไฟฟ้าออกมาแทน) ก่อนที่ตัวรถซึ่งใช้ขุมกำลังสันดาปภายในเชื้อเพลิงเบนซินจะถูกยุติการทำตลาดโดยสมบูรณ์ภายในปี 2040
ด้านแผนงานในระยะกลาง และระยะยาว ทาง Honda ก็ระบุว่าพวกเขาก็ได้มีการตั้งเป้าเอาไว้ว่า บริษัทจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและ FCEVs ให้ได้เป็นส่วนแบ่ง 40% จากยอดขายทั้งหมดของบริษัทภายในปี 2030 และคาดว่าจะขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้กว่า 2 ล้านคัน ในช่วงเวลาดังกล่าว
ในขณะเดียวกันสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในตระกูล “0 Series” ซึ่งเป็นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าตระกูลใหม่ ที่ทางค่ายจะใช้ลุยตลาดโลก ก็จะมีการนำเสนอโมเดลใหม่ๆออกมากว่า 7 รุ่นด้วยกัน ภายในปี 2030 โดยที่ตัวรถประเภทซาลูนไฟฟ้าจะถูกนำเสนอเป็นโมเดลแรกภายในปี 2026 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามด้วยรถยนต์อเนกประสงค์ไฟฟ้าขนาดกลางและขนาดเริ่มต้น ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันอีก 2 โมเดล
ส่วนตัวรถยนต์อเนกประสงค์ไฟฟ้าขนาดใหญ่จะถูกเปิดตัวในปี 2027 ต่อด้วยรถยนต์อเนกประสงค์ไฟฟ้ากลุ่มคอมแพ็คในปี 2028 รถยนต์อเนกประสงค์ไฟฟ้าขนาดเล็กในปี 2029 และคอมแพ็คซีดานไฟฟ้าในปี 2030 อีกประเภทละ 1 โมเดล ซึ่งเป็นไปได้ว่ารถคันสุดท้ายที่เราระบุ อาจเป็น Honda Accord ร่างไฟฟ้ากลายๆก็เป็นได้
นอกจากนี้ ทางค่ายยังเปิดเผยอีกว่า รถยนต์ไฟฟ้าในตระกูล 0 Series เหล่านี้ จะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับโครงสร้างใหม่ที่ช่วยให้รถเบาลงกว่า 100 กิโลกรัม จากแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าที่พวกเขาใช้อยู่ในปัจจุบัน
โดยมีส่วนสำคัญจากการใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบใหม่ ที่บางและเบากว่าเดิม ถูกติดตั้งอยู่ในส่วนใต้ท้องรถและติดพื้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (โดยไม่เป็นอันตรายจากอุปสรรคหรือการกระแทกจากวัตถุต่างๆบนผิวถนน) เพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงของรถอยู่ต่ำที่สุด และเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารให้มากที่สุด และที่สำคัญที่สุดคือ รถทุกรุ่นจะต้องมีระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จ ไม่น้อยกว่า 480 กิโลเมตร
และรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นในตระกูลนี้ ยังจะมาพร้อมกับชิปประมวลผลแบบ SoC (system-on-chip) ซึ่งมีระบบ AI ในตัวทำให้การประมวลผลระบบต่างๆภายในตัวรถมีความว่องไว คล่องตัว ฉลาด และรวดเร็วยิ่งขึ้น แม้กระทั่งระบบ UX หรือ User Experience ของการใช้งานลูกเล่นต่างๆภายในตัวรถก็ยังถูกออกแบบใหม่ให้มีความเฉพาะตัว ตรงกับจริตการใช้งานของผู้คนยิ่งขึ้น โดยแน่นอนว่ามันจะต้องสามารถอัพเดทได้ทันทีผ่านระบบ OTA เพื่อให้ระบบมีความทันสมัยตลอดเวลา และทางค่ายยังสามารถแก้ปัญหาระบบที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
ส่วนกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่วางจำหน่ายในประเทศจีน ซึ่งถือว่าเป็นอีกประเทศที่มีตลาดรถยนต์ไฟฟ้าใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลก (และไทยเราเอง ก็มีการอิงรถยนต์หลายโมเดลจากประเทศนี้เช่นกัน) ทาง Honda ก็จะมีการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนให้ได้ 10 รุ่นภายในปี 2027 เท่ากับว่าจะมีการเปิดโมเดลใหม่ออกมาเพิ่มอีก 3 รุ่นด้วยกัน จากตอนนี้ที่มีขายอยู่แล้ว 7 รุ่น
และทางค่ายยังวางแผนที่จะวางจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นในประเทศจีนให้ได้ภายในปี 2035 ซึ่งเร็วกว่าตลาดโลกถึง 5 ปีด้วยกัน แต่นั่นจะรวมถึงไทยเราด้วยหรือไม่ ? ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดใดๆทั้งสิ้น ในตอนนี้