ปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นปีที่คนไทย ตื่นตัวการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก เนื่องจากความต้องการ ทางด้านเทคโนโลยี และความประหยัดค่าเดินทา
ขณะที่บ้านเรากำลังตื่นตัว แต่ในเวลานี้หลายค่า กำลังเริ่มชะลอตัวในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าใหม่ๆ ในอนาคต จนดูเหมือนชะตากรรมรถยนต์ไฟฟ้า จะถูกกังขา จากผู้ผลิตหลายราย
เบนซ์ชะลอ เหตุ ไม่ได้ทำรายได้มาก
เริ่มต้นค่ายแรก ที่ออกมาชี้ว่า ขอถอยในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าก่อน ก้คงหนีไม่พ้น ทางค่าย Mercedes Benz ออกมายืนยันว่า ตามแผนเดิมที่คาดว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดเสียบปลั้ก น่าจะได้ยอดขาย 50% ของยอดขายทั้งหมด
แต่กลายเป็ว่า เมื่อสิ้นปี 2023 ทางค่าย พบว่า ยอดขาย ทำได้เพียง 10% เท่านั้น และยอดขายโดยส่วนใหญ่ ของรถยนต์ในแบรนด์บึงพึ่งอยู่กับสันดาป ทางแบรนด์จึงประกาศว่า จะขอเลื่อนแนวคิดนี้ออกไปก่อน
โดยสาเหตุที่ยอดขายไม่ปังเท่าที่ควร มีมาจากหลายปัจจัย เช่น มีความนิยมเพียงในอเมริกาเท่านั้น รวมถึง ราคาในการพัฒนาตัวรถยังสูงกว่า รถสันดาป ซึ่งทางแบรนด์ มั่นใจว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะยังไม่นิยม จนกว่าจะในสิ้นทศวรรษนี้
GM ถอยไปพัฒนา PHEV
ทางด้านค่ายรถยนต์รายใหญ่ จากอเมริกา General Motor ประกาศถอยหลัง 1 ก้าวไปทำ รถยนต์ไฮบริดเสียบปลั้ก แทนการก้าวข้ามไปรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
การตัดสินใจครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญ ต่แวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอเมริกา แม้ว่าการประกาศครั้งนี้ ทางบริษัท จะชี้ว่ายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ที่จะพยายาทำให้รถยนต์ของบริษัทยุติการปล่อยไอเสียภายในปี 2035
แมรี่ บาร่า ในฐานะ CEO General Motor เปิดเผยว่า การตัดสนิใจครั้งนี้ จะทำให้ GM ผลิดรถยนต์แบบ Plug in Hybrid ในรุ่นที่สำคัญๆ เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้น ซึ่งจะตอบโจทย์ผู้ใช้ ในระหว่างที่รอให้โครงสร้างทางด้านที่ชารืจพร้อมกว่านี้
ก่อนหน้านี้ GM หันมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า และมีการจับมือกับ ฮอนด้า แต่ไม่ได้ต่อยอดระบบไฮบริด หลังจากยุติการวางจำหน่ายรถยนต์ Chevrolet Volt ไปเมื่อกลางทศวรรษที่ผ่านมา
BMW ปรับ ยุทธศาสตร์ สุ่ความหลากหลาย
ทางด้านค่ายตราพัดฟ้า เป็นอีกค่าย ที่ตัดสินใจ จะไม่ทุ่มไปกับการทำรถยนต์ไฟฟ้าวางขายลูกค้า โดย นาย โอลิเวอร์ ซิพส์ ในฐานะ CEO BMW AG ระบุว่า เขาเอง เชื่อว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจะไม่งอกงามไปมากกว่าที่เป็นอยู่ และมีแนวโน้ม ที่รถยนต์แบบ ไฮบริดเสียบปลั้ก จะกลับมาเป็นที่ต้องการของลูกค้าอีกครั้ง
ทุกวันนี้ นโยบายของ BMW คือให้ความหลากหลาย เป็นผู้ตอบโจทย์ว่าลูกค้าจะอยากได้อะไร ตั้งแต่การพัฒนา รถสันดาปรุ่นใหม่ รถไฮบริดเสียบปลั้ก รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึง การวางแนวทางสู่ยุคไฮโดรเจน
สาเหตุที่บอสใหญ่ BMW มองแบบนี้ มาจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในเยอรมันคกลงเมื่อปี 2023 โดยมียอดขายลดลง 14%
Audi -VW เริ่มปรับความคิด
ทางด้าน ค่ายยุโรป รายสำคัญ อื่นๆ ก็เริ่มปรับการให้ลำดับความสำคัญ ต่อรถยนต์ไฟฟ้า
Audi เรื่มชะลอตัวในการขยายไลน์อัพรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะไม่ขยายจากที่กำลังวางจำหน่ายในปัจจุบัน ไปมากกว่าที่เป็นอยู่ หลังจากเปิดตัว Audi Q6 e-tron ไปล่าสุด และมีแผนในการวางจำหน่ายในครึ่งหลังปี 2024 นี้
ทางแบรนด์มองว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เติบโตมากเท่าที่คิด แม้ว่าเหมือนจะมีความต้องการจากตลาด โดยรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ขายไปได้เพียง 7,500 คัน เมื่อสิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
ทางด้าน Volkswagen หรือ VW ถอย 1ก้าว โดยมีรายงานว่า ทางบริษัท มีการลดการถือหุ้นในหน่วยงานผลิตแบตเตอร์รี่ โดยรายงานเมื่อปีที่แล้ว ระบุว่า Volkswagen พบว่ายอดจองรถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขาในยุโรป ลดลงราวๆ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (2022)
โดยตลาดหลักของ VW คือในประเทศทางยุโรป ซึ่งมีการขยายตัวมากที่สุด ขณะที่ในจีนยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
Ford ลดกำลังผลิต ปรับราคา เหตุ ยอดไม่ดิ้น
ทางด้านค่ายวงรีสีน้ำเงิน เพิ่งจะประกาศ ลดกำลังการผลิต รถยนต์ Ford F-150 Lightning ที่วางจำหน่าย รวมถึง ยังมีการปรับราคารถยนต์ Ford Mustang Mach E ด้วย โดยสาเหตุสำคัญมากจาก ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไม่แรงเท่าที่คิด และ ความต้องการไม่มากเหมือนเดิม
มีรายงานว่า ตัวเลขของฟอร์ดในปีนี้ มียอดขาย 4,674 คัน ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา น้อยลงกว่าเดิม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว
โดยใน จิม ฟาร์ลี่ย์ CEO ฟอร์ด ออกมา ยืนยันว่า ฟอร์ด อาจจะจำเป็นต้องมีไลน์อัพสินค้า ไฮบริดมากขึ้นในอนาคต จากปัจจุบัน ที่มีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น
โดยระบบไอบริดของฟอร์ดในอนาคต จะมีความสามารถในการขับขี่และความประหยัด ซึ่งจะไม่เหมือนกับ ของแบรนด์อื่นๆ ที่ทำออกมาอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ จากทั้งหมด จะเห็นได้ว่า ภาพสะท้อน ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังลดลงอย่างชัดเจน และมีความกังวลว่า กระแสนี้จะอยู่ไม่นาน