แม้ในตอนนี้ เราอาจจะเห็นว่าทาง Mazda ไม่ได้มีตัวเลือกรถยนต์ที่ใช้ขุมกลงไฮบริด หรือขุมกำลังไฟฟ้าล้วนให้ลูกค้าทั่วโลกได้เลือกซื้อมาเท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนพวกเขาจะมีแผนการแก้เกมในเรื่องนี้อยู่ จนถึงขั้นมั่นใจว่าตนจะสามารถทำยอดขายรถยนต์เหล่านี้ได้ถึง 1 ใน 4 ของทั้งหมดที่ตนทำขายทั่วโลกภายในสิ้นทศวรรษนี้
จากการให้ข้อมูลกับสื่อฯ Auto News Canada ทาง Mazda ได้มีการเปิดเผยแผนงานทางการตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าในระยะกลางเอาไว้ว่า พวกเขาตั้งใจที่จะผลักดันและทำตลาดรถยนต์ที่ใช้ขุมกำลังไฟฟ้าของตนเองให้ได้อย่างน้อย 25% จากสัดส่วนของรถยนต์ทั้งหมดที่ตนวางขายให้กับลูกค้าทั่วโลกในปี 2030
และหากมองจากแผนการตลาดในระยะสั้น ที่ทาง Mazda ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะขายรถยนต์ของตนเองทั่วโลกเมื่อปิดปีงบประมาณ 2025 (สิ้นเดือนมีนาคม 2026) ให้ได้มากกว่า 1.8 ล้านคัน นั่นจึงหมายความว่า หากดูจากแนวโน้มการเติบโตของตัวเลขดังกล่าวแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้ว่าในปี 2030 ที่ทางค่ายตั้งเป้าเอาไว้นั้น จะมีรถยนต์ไฟฟ้าของตนเองถูกใช้งานอยู่บนท้องถนนแล้วไม่น้อยกว่า 450,000 คัน
นอกจากนี้ทาง Mazda ยังได้มีการย้ำชัดอีกว่า หนึ่งในแผนการสำคัญที่พวกเขาจะใช้ประเดิมรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (และรถยนต์ที่ใช้ขุมกำลังไฟฟ้าเป็นตัวเสริม อย่างระบบไฮบริด) สำหรับช่วงต้นปี 2023 ที่จะถึงนี้ คือรถยนต์ขุมกำลังไฮบริด ที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่ มาเป็นตั่วปั่นไฟให้กับแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า (ทำงานคล้ายระบบ e-Power ของ Nissan) ที่ใครหลายๆคน ไม่เว้นแม้แต่ชาวไทยก็กำลังรอคอยกันอยู่ด้วย
แต่ทั้งนี้ เมื่อมองแผนการตลาดที่ Mazda ได้เปิดเผยออกมา หลายคนอาจมองว่ามันดูเหมือนพวกเขาจะมีการปรับเปลี่ยน หรือล่าช้าจากแผนงานที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย ซึ่งทางค่ายก็ได้ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาระดับโลกต่างๆที่รุมเร้า
ไม่ว่าจะเป็น ผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสที่ยังไม่หมดสิ้นสักที, ตามด้วยปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน ที่ทำเอาผู้ผลิตทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์หรือกนอกอุตสาหกรรมยานยนต์เดือดร้อนกันเป็นแถว, รวมถึงปัญหาล่าสุดอย่าง สงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ทำให้ปัญหาก่อนหน้านี้มีผลหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีก
ซึ่งปัญหาทั้งหมดที่ไล่เรียงมา มีผลกกระทบร้ายแรงถึงขั้นทำให้ทาง Mazda ต้องเลื่อนโปรเจ็กท์เปิดตัวโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของตนเองออกไปก่อน จากเดิมที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเปิดใช้ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมาและนั่นจึงทำให้การคำนวนแผนงานทางการตลาดต้องปรับใหม่เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแผนการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในระยะกลางที่พึ่งประกาศไปนั่นเอง