Home » MG4 EV ไฟฟ้าขับหลัง ซิ่งสนุกถูกใจ ราคาน่าลุ้น
Bust First Drive Evolution รีวิว

MG4 EV ไฟฟ้าขับหลัง ซิ่งสนุกถูกใจ ราคาน่าลุ้น

ท่ามกลางความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า เราต้องยอมรับกันอย่างเปิดอกว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า BEV หรือ Battery Electric Vehicle ที่เป็นฝั่งเป็นฝา มีคนสนใจได้อย่างวันนี้ ทั้งหมด ก็มาจากความตั้งใจของแบรนด์รถยนต์ MG ที่เปิดตัวรถยนต์ MG ZS EV เป็นต้นมา และวันนี้ พวกเขา กลับมากับ MG4 EV

การทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยราคาที่จับต้องได้ ประกอบกับ การเริ่มให้การยอมรับ รถยนต์จากผู้ผลิตชาวจีนมากขึ้น ช่วยกรุยทาง ให้ค่ายรถยนต์จากแดนมังกรรายอื่น เข้ามาเปิดตลาดง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับ กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า จน วันนี้ แบรนด์รถยนต์อย่าง GWM รวมถึง BYD เข้ามาทำตลาดในไทย พร้อมรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่เป็นเจ้าของง่ายขึ้น

ภายใต้การส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐ ที่เล่นยาแรงใส่สูตร ให้คนสนใจ ด้วยส่วนลดสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในราคาหลักหลายแสนบาท จนทุกคนสนใจ จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ถ้ามีโอกาส ไขว่ขว้า

หลายปีทีผ่านมา MG นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบ รถยนต์ที่แปลงจากรถน้ำมัน ไม่ว่า จะ MG ZS EV พื้นฐานมันก็คือ MG ZS ที่ปรับปรุงเอามอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอร์รี่มาใส่ เช่นเดียวกัน การมาของ MG EP ที่ผันตัวมาทำตลาดทรงแวน

MG4 EV  รุ่น  X

นั่นทำให้ MG มองถึงการสร้างแพลทฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ ที่ต้องสร้างขึ้นเกิดมาเพื่อเป็นรถยนต์ BEV ตั้งแต่แรก และโครงการนั้น ถึงมือผู้บริโภคแล้ว ในนาม MG 4 EV รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่เป็นการเปิดศักราช หน้าใหม่ ค่ายนี้

แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ไฟฟ้า

ตัวรถ MG 4 EV พุ่งเป้าที่ตลาดหลักในฝั่งประเทศยุโรป ที่ซึ่งตลาดรถยนต์นั่ง 5 ประตู ได้รับความนิยม แต่ด้วยความเข้มงวดในเรื่องการปล่อยไอเสียอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ เริ่มมีการวางนโยบาย แบนรถสันดาป สำหรับการใช้งานในเมืองในอนาคตอันใกล้

นั่นหมายความว่า ผู้ใช้รถยนต์ ในนครบาลทั้งหลาย จำเป็นต้องเปลี่ยนรถยนต์ที่ตัวเองใช้คันเดิม ไปสู่ รถยนต์ไฟฟ้าเร็วขึ้น หรือ อย่างน้อยที่สุด เป็นรถยนต์ไฮบริด ที่มีความสามารถในการขับไฟฟ้าบางส่วนก็ยังดี

ขนาดของรถรุ่นนี้ เรียกว่า เป็นขนาดที่คนไทยคุ้นเคย กับรถระดับซิตี้คาร์ ภาพรวมมิติตัวถัง มีความยาว 4,287 มม. กว้าง 1,836 มม.​และ สูง 1,516 มม. มีระยะฐานล้อยาว 2,706 มม.

MG4 EV  รุ่น  X

ถ้าคุณยังไม่เห็นรถแล้วจินตนาการไม่ออกว่า มันจะมีขนาดประมาณไหน …​ ก็ต้องบอกเลยว่า มิติขนาดนี้ใกล้เคียงกับรถยนต์ toyota c-HR ที่คุ้นเคยกันดี

เอ็มจี ท้าทาย ตลาดกลุ่มนี้ด้วยการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 5 ประตู นับเป็นรุ่นที่ 4 ในไทย รองจาก Nissan Leaf, Hyundai ionic และ Ora Good Cat

ถ้ามองจากภาพ คู่แข่งจะเห็นได้ว่า ตลาดกลุ่มนี้ ผู้เล่นเยอะอยู่ พอสมควร ทางเอ็มจี จึงสร้างความแตกต่างด้วยงานดีไซน์ สไตล์สปอร์ตเต็มคราบ ให้อารมณ์สุดขั้ว ด้วยทรวดทรงเหลี่ยมสัน

เริ่มจาก ด้านหน้าเข้มสปอร์ตมาแต่ไกล ตามสไตล์รถยนต์ MG ครบเครื่องด้วย กระจังหน้าปิดทึบแล้ว เบิกช่องทางด้านล่าง พร้อมลิ้นกันชนไว้ตักอากาศ Avant-grade induction Design รุ่นที่เราขับวันนี้ เป็นตัวท๊อปรุ่น X จะมาพร้อมชุดไฟหน้า LED Galaxy Matrix Headlight ช่วยให้ความทันสมัย ส่องสว่างและไม่แยงตาชาวบ้าน ยามค่ำคืน

MG4 EV  รุ่น  X

จุดเด่น รุ่นนี้ อยู่ที่การเอาไฟเลี้ยวแยกออกมา เพื่อความชัดเจนมากขึ้น ตัวล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว มาพร้อมชุดฝาครอบล้อ Aero Wheel Cover ช่วยลดลมหมุนในระหว่างการขับขี่ ด้านข้าง มาแปลก มีชุดพลาสติกสีดำด้าน อาจให้ความรู้สึกขัดใจหลายคน สักหน่อย

เส้นสายงานออกแบบตัวรถ ภาพรวม ให้คมสันเน้นความสปอรืต ตั้งแต่ด้านหน้า จรดด้านท้าย มีเส้นไหล่ ที่ทำให้รถดูมีมิติในงานออกแบบ และ ช่วงประตูหลัง ออกแบบ ให้มีสันใหญ่กว่าทางด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้ระยะห่างระหว่างล้อ กว้างกว่าทางด้านหนเ้าล็กน้อย ราวๆ 10 มม.

ช่วงท้ายที่กว้างกว่า ทางเอ็มจี จัดการใส่เรื่องหลักการอากาศพลศาสตร์ มาเต็มพิกัด ไม่ว่าจะ ไฟท้ายดีไซน์พิเศษ เฉพาะรุ่น X ที่มีการออกแบบให้ไฟท้ายยาว จากด้านซ้ายไปทางด้านขวา เบ้าไฟท้ายยืนออกมา เพื่อเป็นสปอร์ยเลอร์ในตัว และลมหมุน ในบั้นท้ายรถ

MG4 EV  รุ่น  X
MG4 EV  รุ่น  X

ด้านบนปลายหลังคา จัดการติดตั้งชุดสปอร์ยเลอร์ 2 ชิ้น ที่เรียกว่า Twin Aero Wings เพื่อ ช่วยเพิ่มแรงกด พร้อม แหวกกลาง เพื่อทำให้อากาศไหลเวียนผ่านกระจกด้วย ลดน้ำเกาะกระจก จะเห็นได้ว่า รถคันนี้ไม่มีใบปัดหลังมาให้ เหมือน รถรุ่นอื่นๆ

ด้านล่าง ชายกันชน ออกแบบเว้าไปข้างในนิดหน่อย พร้อมทำให้เป็นร่อง ช่วยรีดลม ในระหว่างการขับขี่ แม้เราจะไม่ทราบ ว่ามันจะช่วยมากหรือน้อย ก็ตามที

ทั้งหมด ก็เพื่อทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีระยะทางในการขับขี่มากขึ้น นั่นเอง

ภายใน สปอร์ตทันสมัย

ภายนอกลุคสปอร์ต งานออกแบบภายใน จะให้มันมุ้งมิ้งสุดติ่งกระดิ่งแมว คงไม่ได้ MG จัดการออกแบบภายในให้มันทันสมัย พ่วงความสปอร์ต สอดรับกับภายนอก

เฉกเช่น งานออกแบบยุคใหม่ ทางเอ็มจี ให้ชุดจอภาพ 2 ชิ้นวางแยกกัน ตรงหน้าคนขับ เป็นจอภาพขนาด 7 นิ้ว ใช้แสดงข้อมูลในการขับขี่ต่างๆ ขนาดกำลังดีไม่เล็กจนรู้สึกว่าถูกบดบังมากจนเกินไป จอกลางเปลี่ยนรูปแบบ มาเป็นแนวกว้างขนาด 10.25 นิ้ว ช่วยเพิ่มความดูดีมากขึ้น

กลับมาตรงหน้าคนขับ ได้พวงมาลัย 2 ก้าน ตบแต่งด้วย การแบนทั้งล่างและด้านบน รวมถึง ยังมี ตัว Center Mark ช่วยป้องกัน ไม่ให้ หลงทิศทางพวงมาลัย อยู่ทางชายล่าง

ในส่วนตัวเบาะนั่ง รุ่น X เป็นเบาะปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับ ,อาจจะขัดใจแม่บ้าน ที่ยังเป็นเบาะนั่งปรับมืออยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ข่าวดี เบาะชุดนี้ ค่อนข้าง มีขนาดใหญ่พอสมควร นั่งสัมผัสสำหรับผม มนุษย์ไซส์หมี ระดับ XL จัดว่า โอเค ไม่เล็กจนเกินงาม

เรื่องการโดยสารตอนหลัง ต้องยอมรับว่าไม่ได้ มีพื้นที่เยอะมาก เอาตามตรงขนาดพื้นที่โดยสาร โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่วางขา ถ้าผมเปรียบกับรถที่ใช้อยู่ในมิติที่ใกล้เคียงกัน อย่าง Honda City Hatchback , กลายเป็นว่า MG4 EV กลับยังไม่สามารถสู้ได้ ความรู้สึกในการโดยสาร กลับทำให้ผมนึกถึง Ford Fiesta

แถมการทำเบาะนั่งตอนหลัง ยังมีความชันหลัง และ ที่รองนั่งยังบังคับเชิดขาขึ้น ด้วย เท่านั้นไม่พอ ช่องแอร์หลัง และ ที่เท้าแขนตรงกลางไม่มีมาให้ เป็นอันว่า ใครที่เป็นสายเดินทาง มีคนโดยสาร ตอยหลังบ่อยๆ อาจจะมองข้ามไปแทบจะในทันที

ทั้งหมดนั้น ก็มาจากการออกแบบตัวรถนั่นเอง ที่ทำออกมา เน้นการใช้งานในเมือง และ คนทางฝั่งยุโรป ไม่ได้ ซีเรียส กับรถที่เดินทางในเมืองเท่าไร

ภายในห้องโดยสาร MG4 EV  รุ่น  X
ภายในห้องโดยสาร MG4 EV  รุ่น  X

ข่าวร้าย สำหรับใครที่ซื้อรุ่นท๊อป รถรุ่นนี้มาพร้อมเบาะนั่งสีทูโทน โทนเทาอ่อน สลับกับเทาเข้มและมีสีส้มตัดให้ความครบเครื่องน่าใช้ ,แต่ คนไทย จริตส่วนใหญ่อยากได้ภายในสีดำ เนื่องจากดูแลง่ายกว่าในความเป็นจริง ซึ่งมันมีให้เลือก แต่อยู่ในรุ่น D เท่านั้น

ส่วนเรื่องพื้นที่สัมภาระ มีมาให้ประมาณหนึ่งมากพอจะจุกระเป๋าเดินทางได้ 3 ใบวางทับซ้อนกัน มีชั้นแบ่งมาให้ได้ใช้งาน รุ่น X มีลูกเล่น ที่เรียกว่า ชั้นแบ่งของ 2 ชั้น หรือ Double Deck ซึ่งรุ่นล่างไม่มี

การวิศวกรรม

ทางด้านงานวิศวกรรม MG4 EV นับว่า เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ ทาง MG เนื่องจากนี่คือรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ใช้แพลทฟอร์มใหม่ล่าสุด โครงสร้างตัวถังที่เกิดมาเพื่อสร้างรถยนต์ไฟฟ้า ในนาม Nebular Platform

โครงสร้างใหม่นี้ เป็นโครงสร้างแบบ Modular Scalable Platform สามารถนำไปย่อ ขยาย เพื่อให้เหมาะสม กับรถที่ต้องการวิศวกรรม หรือสร้างออกมา ด้วยจุดเด่นในการสร้างสมดุลน้ำหนักตัวรถที่ 50/50 เทียบเท่ารถสปอร์ตอย่าง Mazda MX-5 ทั้งยัง สามารถแปลง เป็น ขับเคลื่อนสี่ล้อได้ด้วย ซึ่งในต่างประเทศ มีขาย จะมาไทย ไหม ต้องรอลุ้นกันต่อไป

นอกจากโครงสร้างตัวถัง ที่ออกแบบมาเพื่อความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า , พัฒนาการอีกอย่าง คือตัวแบตเตอร์รี่ที่นำมาใช้ในรถยนต์รุ่นนี้ เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ออกแบบให้มีความบางกว่าแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ

ทาง MG เปลี่ยนการแพ็คแบตเตอร์รี่ จากเดิมที่ใช้ การจัดวางเซลล์ เข้าไปในโมดูล และ โมดูล เข้าไปอยู่ในแบตเตอร์รี่แพ็ค ทำให้ มันมีความสูงราวๆ140-150 มม.​

วิศวกร เอ็มจี ตัดสินใจ จะยกเครื่องใหม่ ในครั้งนี้เปลี่ยนจากการวางโมดูล มาเป็นการวางเซลล์ เข้าไปใน แพ็คแบตเตอร์รี่เลย และ เป็นการวางในแนวนอน ทำให้ ความสูงลดลง แบตเตอร์รี่บางขึ้น มีความสูงเพียง 110 มม.​หรือลดลงราวๆ 30 มม. ติต่างว่าลดลงราวๆ 1 นิ้ว จากเดิม ถ้าเทียบกับ ของที่เราใช้ในชีวิต ประจำวัน ความสูง บางกว่ากระป๋องโค้กแคน

ตามการเปิดเผยของทางเอ็มจี แบตเตอร์รี่ใหม่นี้ มีความยาว 1,690 มม.​กว้าง 1,300 มม. รวมถึงยังปรับปรุง เอาระบบควบคุมแบตเตอร์รี่ ย้ายออกไปไว้ทางด้านข้าง เพื่อการตอบสนอง เรื่องพื้นที่ในการจัดวาง

สำหรับใครที่ห่วงว่า แบตเตอร์รี่จะย้อย จนถ้าขับไม่ระวัง หรือ เจอทางสมบุกสมับน จะครูด หรือไม่ ก็ขอแสดงความยินดีว่า โครงสร้างใหม่ ทำให้ แบตเตอร์รี่ เนียนไปกับใต้โครงสร้างรถ ไม่มีการยืนออกมาให้ รำคาญใจ หรือต้องเป็นกังวล ที่น่าห่วงคือระยะความสูงจากพื้นถึงท้องรถเพียง 117 มม.​ซึง่นั้นไม่ได้มากกว่ารถเก๋ง ทั่วไปในวันนี้สักเท่าไร

บ้านเราได้รุ่นเดียว เป็นแบตเตอร์รี่ขนาด 51 Kwh ชาร์จด้วยหัวชาร์ จ Type 2 และ CCS Combo 2 บ้านเรา ถูกตอน เรื่องความสามารถการชาร์จนิดหน่อย รองรับความเร็วการชาร์จสูงสุดเพียง 88 Kw ในโหมด DC จากที่ยุโรป สามารถทำได้สูงสุด 113 Kw นั่นทำให้ คุณสามารถชาร์จ 10-80% ของแบตเตอร์รี่ได้ใน 35 นาที

ทางด้านการชาร์จทั่วไปในโหมด AC รองรับสูงสุด 6.6 Kw ใช้เวลา 8.5 ชั่วโมงในการชาร์จจาก 0-100% ของแบตเตอร์รี่

ในส่วนของระบบขับเคลื่อน มอเตอร์ ก็เป็นรุ่นใหม่ที่มีการพัฒนาให้ตอบสนองดีขึ้น ในเวอร์ชั่นขายไทย มีจำหน่ายเพียงขนาดกำลังเดียว คือ 170 PS พกแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร เปรียบเทียบกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน เท่ากับเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.5 ลิตร ทางเอ็มจี ล็อคความเร็วสูงสุดที่ 160 ก.ม./ช.ม.

ความพิเศษของรถ MG4 EV อยู่ที่การวางระบบขับเคลื่อนไว้ทางด้านหลัง ติดตั้งมอเตอร์ไว้ข้างหลัง ทำให้ Lay Out ขับเคลื่อน เป็นแบบ Rear- engine (Motor) Rear Wheel Drive หรือ RR

รูปแบบนี้ คล้ายกับใน รถยนต์ชำนนำหลายรุ่น อาทิ Volkswagen Beetle สำหรับรถสันดาป และคล้าย Honda e ในหมวด รถยนต์ไฟฟ้า นั่นทำให้ การขับขี่ของมันแตกต่าง จากทุกคนที่เคยผ่านมา

ทดลองขับ MG4 EV

เพื่อให้ คุณเข้าใจรถมากที่สุด ผมตัดสนิใจ จะแยกการทดลองขับ ออกเป็น 3 หัว ข้อ ตามที่ได้ทดสอบ คือ

  • การทดสอบ อัตราเร่ง
  • การทดสอบ การควบคุมรถ
  • การทดสอบ ในเรื่องของ การเก็บเสียงและควบคุมการสั่นสะเทือน

การทดสอบอัตราเร่ง

อย่างแรก , ที่เราตัดสินใจ ทันทีที่จะทำในรถยนต์คันนี้ ก็คงไม่พ้น อัตราเร่ง แต่ต้องบอกก่อนว่าวันนี้เป็นการทดสอบในสนามแข่ง ที่มีพื้นเป็นปูนซีเมนต์ นั่นอาจจะต่างจากบนถนนจริง ที่เราทำ

ข้อดี ของการวางล้อขับเคลื่อนไว้ทางด้านหลัง คือ เมื่อคุณเดินคันเร่ง ล้อข้างหลัง หมุน น้ำหนักของรถตามธรรมชาติมวลจะกดทางด้านหลัง ทำให้ ยิ่งกดลงไปยังล้อขับเคลื่อน ช่วยให้ยางยิ่งสัมผัสถนนดี และเอากำลังขับแรงบิดลงพื้นได้เต็มประสิทธิภาพ อย่างมั่นอกมั่นใจ

ในการทดสอบของเรา มีผู้โดยสาร 2 คน คือ ผม และ เจ้า จอห์น มาร่วมเป็รสักขีพยาน อุปกรณ์วัด เราก็ใช้ระบบบ้านๆ เอามือถือ มาจับเวลา แบบโง่ๆ ง่ายๆ ผลคือ

เวลา (วินาที)
ครั้งที่ 19.32
ครั้งที่ 29.13
ครั้งที่ 39.02
ครั้งที่ 48.92
เฉลี่ย9.09
ตาราง สรุป ข้อมูล อัตราเร่ง ในการทดสอบในสนาม

นั่น เป็น อัตราเร่ง ที่ค่อนข้างจะเร็วอยู่พอสมควร เปรียบเทียบกับ ซิตี้คาร์ เครื่องสันดาป ที่เราเคยลองมา มันเร็วกว่า เครื่อง 1.0 เทอร์โบ ในยุคนี้ นั่นด้วยอานิสงค์แรงบิดสูงในรอบต่ำ รวมถึง การตอบสนองฉับพลัน หรือ Instant Torque และชุดล้อที่สามารถ ขับม้าลงพื้นได้ทั้งหมด

แถมอัตราเร่งขนาดนี้ยังไม่เร็ว จนคนนั่งรู้สึก ผวา และยังสามารถกดเล่นสนุกๆ ที่ไหนก็ได้ ตามต้องการ พลังขับของรถรุ่นนี้เรียกว่า เท่า ORA Good Cat GT หาก ด้วยความเป็นขับหลัง มันจึงเร็วกว่านิดหน่อย บางสื่อที่ไม่ได้ไซส์หมี ทำได้ราวๆ 8 วินาทีด้วยซ้ำไป

การทดสอบการควบคุมรถ

ในแง่การทดสอบ การควบคุมรถเรียกว่า เป็นโจทย์ ที่มีความโดดเด่น มากใน MG 4 EV ทางค่าย ประเคน ทั้งโครงสร้างใหม่ , การวางเลย์เอาท์ รวมถึง การ ตอบเรื่องสร้างสมดุลรถ และยังไม่พอ คุณยังได้ช่วงล่างหลังอิสระแบบ 5 ลิงค์ ทางด้านหลังด้วย ทั้งหมด ช่วยให้รถ น่าจะควบคุมดี แน่ๆ ไม่ต้องขับ ก็พอจะเดาได้ ..​แต่มันดี อย่างไร เราจะไปพิสูจน์พร้อมกัน

เด็กยุคใหม่ อาจไม่ได้โตมากับรถเก๋งขับหลัง จะมีตอนนี้ก็เป็นรถกระบะที่ยัง คงเป็นขับเคลื่อนล้อหลัง ถัดจากนั้น ก็เป็นรถสปอร์ต อย่าง Toyota Gt 86 / Subaru BRZ ราคาก็ไปคนละโลก

สาเหตุ ที่รถมากมายหลายรุ่น โดยเฉพาะที่มีราคาแพงยังพยายาม พัฒนารถขับเคลื่อนล้อหลัง มาจากความสามารถในการควบคุมนั่นเอง

ปกติรถยนต์ที่เราใช้ทั่วไปจะเป็นขับเคลื่อนล้อหน้า มันมีข้อดี ตรงความง่ายในการรวมเครื่องเกียร์ชุดขับเคลื่อนไว้ในจุดเดียว ไม่ต้องมาสร้างเพลาขับกำลัง ติดตั้งเฟืองท้ายแยกต่างหาก ช่วยลดภาระเรื่องน้ำหนัก และการสูญเสียกำลังขับไปได้มากโข จนเครื่องจิ๋วๆ ก็พา รถและผู้โดยสาร เดินทางได้สบาย

การก้าวสู่ ยุครถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ รถขับหลังกลับมาอีกครั้ง เนื่องจาก สามารถขับมอเตอร์ไปวางตรงไหนก็ได้ ไม่ว่าจะด้านหน้า และ ด้านหลัง การทำ รถยนต์ไฟฟ้า ขับหลัง ก็แค่ เอามอเตอร์ไว้ข้างหลัง ไม่มีชุดเพลาขับใดๆ ในการถ่ายกำลัง เว้นแต่เพลาข้าง ที่ต่อการจากมอเตอร์ไปดุมล้อนั่นเอง

https://www.ridebuster.com/return-of-rwd-in-ev-era-2022/

อันที่จริง รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง มีดีในเรื่องความสามารถในการขับขี่ โดยเฉพาะ สมดุลน้ำหนักตัวรถ เมื่อออกตัว ไม่ว่าเราขับรถแบบใด เมื่อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า น้ำหนัก จะถูกถ่ายเทไปยังด้านหลัง ทำให้ รถขับหลัง มีอัตราเร่งค่อนข้างดี

แถมยังเป็นไปอย่างนุ่มนวล เนื่องจาก แรงกำลัง อยู่ข้างหลัง คุณรู้สึกถูกผลักออกไป ไม่ใช่ รู้สึก ถึงการกระชาก เวลาเรากดคันเร่ง

นอกจากนี้ ระบบบังคับเลี้ยวที่แยก ออกจาก การเป็นล้อขับเคลื่อน ทำให้ พวงมาลัย มีชีวิตชีวา เป็นธรรมชาติ ในการขับขี่มากขึ้นตามไปด้วย อาการรู้สึกพวงมาลัยขืน เวลาเข้าโค้ง บ้างอาจรู้สึกว่า เลี้ยวแล้วบานออก ไม่มีในรถขับหลัง หรือ เกิด อาการ Toque Steer อันจะทำให้พวงมาลัยฉก ซ้าย หรือ ขวา เวลาขับรถ ด้วยความเร็ว

ในการทดสอบ MG 4 ทาง MG แบ่ง สถานี ทดสอบ Handling ออกเป็น 2 สถานีใหญ่ๆ คือ Mini Circuit และ Lane change

Mini Circuit

สถานีนี้ เป็นการจำลองสนามสั้นๆ 5 โค้ง เพื่อแสดง ศักยภาพ ตัวรถในการเข้าโค้ง ซึ่งสื่อถึง สมดุล ตัวรถ และ ความสามารถระบบขับเคลื่อน ช่วงล่างไปจนถึง ยางที่ใช้

อย่างที่เราทราบ MG4 EV ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ คำว่า ขับเคลื่อนล้อหลัง ก็มีหลายแบบ เช่น เครื่องวางหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง , เครื่องวางกลางขับเคลื่อนล้อหลัง และ เครื่องวางท้าย ขับเคลื่อนล้อหลัง

สำหรับรถคันนี้ ถ้าบัญญัติ มันน่าจะอยู่ในประเภท วางหลังขับเคลื่อนล้อหลัง แม้ว่าอาจจะไม่ตรงกับ หลักวิศวกรรมเสียทีเดียว หากถ้ามอง ที่ภาพร่างวิศวกรร มเราจะพบว่า ตัวมอเตอร์ วางไว้ที่ระหว่างล้อหลัง ซึ่ง ในความจริง มันก็คือหลักการเดียวกัน กับเครื่องวางหลังขับเคลื่อนล้อหลัง เพียงแต่ด้วยการใช้โมดูลมอเตอร์ ทำให้ไม่เสียพื้นที่ห้องโดยสารเพื่อ ทำให้มันเป็นห้องเครื่องดั่งในอดีต

ด้วยการเป็นรถขับหลัง เวลาบังคับเลี้ยวอาการพวงมาลัย จะมีความรู้สึกเป็นอิสระ มากกว่า การเข้าโค้งด้วยความเร็ว อาจต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็น การเข้าแบบใจเย็นแล้วไปเลี้ยงเอาในโค้ง หรือ Slow in fast Out จะได้ประสิทธิผลในการขับขี่ดีที่สุด

ในกรณีเข้าแล้วหักพวงมาลัยเร็วๆ จะพบว่า รถจะมีอาการ Under Steer หน้าไถบ้าง แต่ยังเลี้ยวตามวงพวงมาลัย ซึ่งมาจากการวางสมดุลของรถ 50 /50 และอีกส่วนมาจากการจัดการของระบบ ควบคุมการทรงตั ช่วยให้รถเชื่องมือเรามากขึ้น

รอบต่อๆมา ผมลองปิด ระบบควบคุมการทรงตัว ทดสอบ สมดุลตัวรถว่าดีจริง ตามที่อ้างหรือไม่ รถที่มีสมดุลแบบนี้ ที่เคยขับมา คือ Mazda MX-5 ผมไม่ค่อยคาดหวัง กับเอ็มจีมาก เนื่องจาก มันเป็นแฮทช์แบ็ค ไม่ใช่ โรดสเตอร์

เมื่อปิดระบบควบคุมการทรงตัว อาการรถ จะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนโดนปลดพันธนาการ คันเร่ง ตอบสนองดีขึ้น อาการรถ ดูจะโคลงขึ้นนิดๆ เป็นธรรมชาติไม่ขืน

ลองเข้าโค้งด้วยความเร็ว 60-80 ก.ม./ช.ม.​ในสนาม การถ่ายน้ำหนัก จะค่อยๆ เป็นไปอย่างธรรมชาติ รถปรับการโคลงตัวเป็นไปตามทิศทางพวงมาลัย แบบ Dual Pinion ทำให้มีความแม่นยำ การบังคับทิศทางไปตามใจ มีระยะฟรีไม่มากเท่าไรนัก

เมื่อเราบิด การเอี้ยวตัวของรถ ตามการเปลี่ยนทิศทางจะเกิดขึ้น และเราสามารถใช้การควบคุมคันเร่ง ช่วยในการบังคับเปลี่ยนทิศได้ด้วย จะเร่งมากเร่งน้อย คุม จังหวะออกจากโค้งได้ตามต้องการ

กรณีเร่งในโค้งมากไป ด้วยแรงม้าและแรงบิดที่ค่อนข้างมาก รวมถึง การเป็นรถขับหลัง ทำให้เกิดการ PowerSlide หรือ อาการ Over Steer นั่นเอง การแก้อาการ อาจจะต้องอาศัย ประสบการณ์ในการขับขี่ โดยการ บิดพวงมาลัย ไปทิศตรงข้ามเล็กน้อย ในบางกรณี อาจไม่ต้องบิดเลย เนื่องจาก สมดุลของรถพยายามจัดการ คืนสมดุลเอง ผ่านการใช้คันเร่งของผู้ขับขี่

แต่ในความเป็นรถขับหลัง ต้องระวังที่สุด เวลา เราห้าวเป้ง เกิดสะบัดพวงมาลัย เร็วเกินไป หรือเดินคันเร่งมากไป อาจเกิดการหมุนได้ง่าย ยิ่งรถยนต์ไฟฟ้า เหยียบปุ๊บพลังมาทันใจ รู้ตัวอีกที อาจหมุนไปแล้ว

คำแนะนำ สำหรับคนที่ประสบการณ์ขับเคลื่อนรถขับหลังน้อย คือ เปิดระบบควบคุมการทรงตัวเอาไว้ดีที่สุด

นอกจากพวงมาลัย ที่เร็วทันใจ สมดุลรถที่ดี จนทำให้การเข้าโค้ง มีความสนุกสนาน และมีชีวิตชีวามากขึ้นแล้ว

สิ่งที่ต้องยอมรับว่าดี พอๆ กับการวิศวกรรม ของ เอ็มจีเอง คงไม่พ้นชุดยาง Continental Premium Contact c ยางเซทนี้เป็นยางสเป็คยุโรป

ทางเอ็มจี เผยว่า ได้มีการร่วมมือกัน ระหว่างบริษัทยาง และวิศวกร เอ็มจี ในการพัฒนายางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งในการเข้าโค้งและการเบรก

เท่าที่ลองใน 4 รอบสนาม สถานีนี้ , ความสามารถยางจัดอยู่ในระดับดีพอสมควร มันอาจจะไม่ใช่ยางสปอร์ต ทว่าก็สามารถรับการขับสไตล์สปอร์ตของ ผู้ทดสอบทุกคนได้อย่างไม่มีปัญหา และ ดูทรงแล้ว ถ้าเอา MG4 ไปใส่ยางที่มีประสิทธิภาพกว่านี้ อาจทำให้การเข้าโค้งสนุกสนานมากขึ้น

Lane Change

ทางด้าน สถานี Lane Change เป็นการวางกรวย เพื่อแสดงเรื่องความคล่องตัวในการบังคับทิศทาง เราใช้ความเร็ว 60 ก.ม/ช.ม.​ทั้ง 4 รอบ

การลงแรงกับงานวิศวกรรม ทางด้านโครงสร้าง และสมดุล รถ ทำให้ MG4 Electric ขับได้สนุกสนาน และควบคุม อย่างมั่นใจ

จากที่ลองขับ อาการของรถ เป็นไปตามใจสั่ง จากการตอบสนองของพวงมาลัย ขณะเรื่องสมดุลรถ ที่ออกมาในแบบขับหลัง สมดุลดี ทำให้ ทิศทางที่ว่ายาก ใช้พวงมาลัยน้อยลง เมื่อผสานกับการเดินคันเร่งช่วย

ให้จินตนาการ ถึงหมา ตัดหน้า แล้ว หลักหลบอย่างรุนแรง MG 4 EV จะตอบสนองในการบังคับทิศทางได้ง่ายกว่า รถ แฮทช์แบ็คขับหน้าที่เราคุ้นเคย อีกอย่าง ด้วยทรงรถที่ค่อนข้างแบน และ แบตที่อยุ่ใต้พื้นห้องโดยสาร ทำให้ คุณรู้สึกถึงความมั่นใจ ตลอดเวลา

ในการปิดระบบควบคุมการทรงตัว จะพบว่า รถจะคุมยากขึ้น จะมีอาการท้ายขวางให้ต้องแก้พวงมาลัย อย่างต่อเนื่อง สำหรับ คนที่มีประสบการณ์อย่างผม ชอบ และคุ้นชิน กับอาการแบบนี้ มันต้องใช้พวงมาลัย ผสานกับคันเร่ง ในการ ทำให้รถสมดุล ระหว่างการควบคุม

MG4 Electric

สมดุลรถดี จนถึง ขนาดผู้โดยสาร สามารถนั่ง คุยกับเรา ขณะกำลังบู้อย่างเมามันส์ได้สบายมาก ติดเพียงเบาะนั่งที่ยังไม่ค่อยกระชับตัว ทำให้ ตัวผู้โดยสารมีอาการเหวี่ยง มันน่าจะดีกว่านี่้ ถ้าเบาะเป็นทรงสปอร์ต และมีปีกขนาดใหญ่

การเก็บเสียง และการสั่นสะเทือน

ทางด้านการเก็บเสียง และการสั่งสะเทือน หรือ NVH ที่จริง ไม่มีในการทดสอบครั้งนี้ แต่จากการลองขับหลายรอบ ผมรู้สึกว่า การย้าย มอเตอร์ไปไว้ด้านหลัง บวกกับโมดูล ถูกวางไว้ใต้ตัวรถ ทำให้ เสียงรบกวนระหว่างการขับขี่ค่อนข้างน้อยพอสมควร

เสียงที่เข้ามารบกวนบ่อยในการทดสอบ ส่วนใหญ่จะเป็นยาง เสียงมอเตอร์น้อยมาก จะได้ยินช่วงสั่นๆ เช่นเร่ง ออกตัว

เทียบกับ MG ไฟฟ้า ในอดีต เสียงรบกวนมากกว่านี้เยอะมาก นี่ถือว่า ทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว เพราะ พื้นห้องโดยสารช่วยซับเสียง

สรุป MG 4 EV สปอร์ตครบเครื่อง ในฉบับรถยนต์ไฟฟ้า

หลังจากลองขับรถยนต์ไฟฟ้า MG 4 EV ต้องยอมรับว่า เอ็มจี ได้ทำรถยนต์ไฟฟ้าได้น่าสนใจกว่าที่คิด การเป็นขับหลัง ทำให้คุมง่าย ขับสนุกเป็นธรรมชาติ มีชีวิตชีวา ขับแล้ว หลายคนพูดตรงกัน นี่ไม่เหมือนเอ็มจี ที่เราเคยขับ

มันคือ MG ยุคใหม่ ก้าวสู่อีกระดับ อย่างแท้จริง

MG4 Electric

ถึงแม้ ถ้าให้ 10 คะแนนเต็ม ผมอาจจะให้สัก8.5 นั่นถือว่าค่อนข้างมากกับรถยนต์ จากผู้ผลิตชาวจีน ที่เราเคยแค่มองผ่านๆ และไม่เคยสนใจ ถึงขนาด มันน่าซื้อน่าคบหา

ผมกลับเสียดายที่ เอ็มจี ไม่ยอม เอาตัว 200 แรงม้า ที่จะมาพร้อมแบตเตอร์รี่ขนาด 64 Kw อันจะมีระยะทาวงขับมากกว่านี้ และกำลังขับก็ขึ้นแท่นรถสปอร์ตแล้วด้วย เข้ามาทำตลาด น่าจะด้วย ความต้องการในการกด ราคารถ ให้อยู่ในจุดที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ การที่รุ่น X ไม่มีภายใน ดำ ก็เป็นอะไรที่ทำให้ ยอดจอง รุ่นล่างกลับ เดินดีกว่า จากข้อมูล ที่เราได้คุยเบื้องต้น กับทาง เอ็มจี

ทั้งที่จริงๆ รุ่นท๊อป ภาพรวมสวยกว่า หลายคนกลับตะขิดตะขวง เรื่องสีภายใน เสียอย่างนั้น ผมล่ะก็คนหนึ่ง ถ้ามองผ่านเรื่องนี้

รวมๆ MG4 Electric คือ รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าใช้ แต่จะน่าสนใแค่ไหน คงต้องลุ้น ราคา ที่จะเปิดตัว ในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ …

เรื่อง และ ขับ ทดสอบ โดย ณัฐพิพัฒน์ วรโชติโกศล

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.