นอกจากจะเป็นรถซุปเปอร์คาร์เครื่องยนต์วางกลางคันแรกของตระกูล ล่าสุด 2024 Corvette C8 ยังมาพร้อมกับ ชื่อต่อท้ายใหม่ “E-Ray” เพื่อบ่งบอกถึงการเป็นรถซุปเปอร์คาร์พลังไฮบริดคันแรกของตระกูลอีกด้วย
2024 Corvette E-Ray ไม่ได้ถูกเปิดตัวแค่ในฐานะรถซุปเปอร์คาร์พลังไฮบริดคันแรกของค่ายเท่านั้น แต่มันยังเป็นรถซุปเปอร์คาร์คันแรกของแบรนด์ ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และสามารถปรับไปขับเคลื่อนด้วยชุดล้อคู่หน้าเพียงอย่างเดียวได้ด้วย
เพราะแม้มันจะยังคงมาพร้อมกับขุมกำลังหลักซึ่งเป็นเครื่องยนต์รหัส LT2 แบบ V8 (Flat-Plane) ความจุ 6.2 ลิตร จาก Corvette C8 รุ่นเริ่มต้น ที่มีแรงม้าสูงสุด 495 HP (502 PS) กับแรงบิดสูงสุด 637 นิวตันเมตร เท่าเดิม พร้อมส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 สปีด เหมือนเดิม
แต่ด้วยการมาของมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเดี่ยว กำลังสูงสุด 160 HP (162 PS) แรงบิดสูงสุด 170 นิวตันเมตร ที่ติดตั้งเข้ามาเพื่อช่วยกันทำงานกับเครื่องยนต์ในลักษณะระบบไฮบริดที่ด้านหน้าตัวรถ สำหรับขับเคลื่อนล้อหน้า จึงทำให้มันสามารถช่วยกันขับเคลื่อนรถซุปเปอร์คาร์รุ่นนี้ ได้ทั้งแบบ 4 ล้อ AWD
หรือจะดับเครื่องยนต์แล้วใช้แต่มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้าเพียงอย่างเดียว ในโหมด EV ล้วน ที่มีชื่อว่า “Stealth Mode” ก็ได้ ทว่า มันจะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เพียง 72 กิโลเมตร/ชั่วโมง เนื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านแบตเตอรี่ที่มีความจุเพียง 1.9 kWh เท่านั้น
เนื่องจากทางค่ายตั้งใจออกแบบให้มันสามารถติดตั้งเอาไว้ตรงกลางลำตัวรถได้อย่างพอดิบพอดี เพื่อประหยัดเนื้อที่ และลดการเพิ่มน้ำหนักส่วนเกินโดยไม่จำเป็น ซึ่งแน่นอนว่า มันก็ไม่ได้มาพร้อมกับระบบเสียบปลั๊กชาร์จ ที่ผู้ใช้ต้องวุ่นวายในการใช้งานมากขึ้นอีกด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว หากกลับมาไล่ถึงพละกำลังสุทธิอีกครั้ง เจ้า E-Ray ก็จะมีแรงม้าสูงสุดเมื่อทั้งสองขุมกำลังทำงานร่วมกันได้ที่ 655 HP หรือ 664 PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 807 นิวตันเมตร เมื่อประกอบกับการใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงทำให้มันสามารถทะยานตัวจากจุดหยุดนิ่งไปสู่ความเร็ว 97 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 2.5 วินาที
ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้น ถือว่าทำได้ดีกว่า ตัวรถรุ่นซิ่งที่สุดของตระกูลรหัส Z06 ที่ใช้เครื่องยนต์ LT6 V8 (Flat-Plane) ความจุ 5.5 ลิตร รอบจัด แรงม้าสูง 670 HP อยู่ 0.1 วินาที
แต่เนื่องจากฝ่ายหลัง มาพร้อมกับชิ้นส่วนแอโรพาร์ทที่ดีกว่า ใช้ยางหนึบกว่า และช่วงล่างที่เน้นการวิ่งในสนามเป็นหลัก รวมถึงน้ำหนักที่เบากว่า คือ 1,561 กิโลกรัม จนสามารถสร้างแรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้งได้มากสุด 1.22g เมื่อกลับมาที่เจ้า E-Ray ซึ่งไม่ได้ถูกเซ็ทอัพในเรื่องของการเข้าโค้งจัดเต็มขนาดนั้น และยังมีน้ำหนักตัวที่มากกว่า โดยอยู่ที่ 1,712 กิโลกรัม จึงทำให้มันสามารถสร้างแรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้ง(การยึดเกาะขณะเข้าโค้ง) ได้น้อยลงมาหน่อย ที่ 1.1g
โดยแม้จะสามารถสร้างแรงยึดเกาะในโค้งได้ไม่เทียบเท่ากับตัวรถร่างพร้อมลงสนาม แต่มันก็มาพร้อมกับจานเบรกคาร์บอนเซรามิค และระบบเบรกจาก Brembo กับ ระบบช่วงล่างไฟฟ้า Magnetic Ride Control 4.0 ที่สามารถปรับค่าการทำงานพื้นฐานได้ 3 รูปแบบ ส่วนชุดล้อจะยกมาจาก Z06 ซึ่งเป็นสาเหตุให้มันต้องใช้ชุดแก้มโป่งข้างเดียวกับตัวรถรุ่นดังกล่าวนั่นเอง
นอกนั้น ในด้านรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ก็แทบไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก Corvett C8 ร่างต้นเท่าไหร่นัก ไม่เว้นแม้กระทั่งการตกแต่งภายในห้องโดยสาร เว้นเพียง ลายสติ๊กเกอร์แบบคาดกลางตัวรถไปตามแนวยาวจากหัวจรดท้ายสีฟ้า กับโลโก้กระเบนซิ่งสีดำ ซึ่งเป็นออพชันเฉพาะรุ่น E-Ray นี้เท่านั้น