นอกจากการดันแบรนด์ IONIQ ในวาระเดียวกันนี้ ทาง Hyundai ที่มีบริษัทแม่จากเกาหลีมาคุมตลาดในประเทศไทยเอง ยังเตรียมแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์กลุ่ม “N-Series” ในบ้านเราด้วย และจะประเดิมกันก่อนเลยกับซีดานตัวแรงอย่าง Hyundai Elantra N
Hyundai Elantra N คือร่างแยกเวอร์ชันอัพเกรดสมรรถนะของ Hyundai Elantra ลักษณะใกล้เคียงกับกับ Civic Type R ของ Honda Civic รุ่นปกติ และที่สำคัญคือเมื่อมองจากขนาดตัวถังของ Elantra เราก็จะพบว่ามันคือรถยนต์ในกลุ่มขนาด C-Segment จึงทำให้มันเอง ก็เปรียบเสมือนคู่แข่งสาย(เกือบ)ตรง กับรถรุ่นที่เรานำมายกตัวอย่างอยู่กลายๆ
โดยความแตกต่างของ Elantra N เมื่อเทียบกับ Elantra ร่างต้น ก็จะเริ่มจากงานออกแบบภายนอก ตั้งแต่กันชนหน้า ที่ถูกปรับใหม่โดยเน้นการต่อชายล่างให้ต่ำติดพื้นมากขึ้น ส่งผลให้ช่องดักลมช่วงครึ่งล่างของกันชน ทั้งตรงกลางและด้านข้างดูใหญ่โตมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันชุดกระจังหน้ากลับถูกออกแบบให้บางลง ทว่านั่นก็เพื่อให้ชิ้นแถบคาดกลางของกันชนหน้าดูใหญ่ขึ้น เพิ่มความดุดันให้กับรถได้เป็นอย่างดี
ตัวโป่งข้าง หรือขอบคิ้วซุ้มล้อเอง ก็ยังถูกปั๊มเส้นขอบให้เห็นเป็นสันนูนจากแนวตัวถังชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนลวดลายตัวถังแบบปริซึมด้านข้าง ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนใดๆ เว้นเพียงการเสริมสเกิร์ตข้าง เพื่อให้ตัวถังตรงกลางดูเตี้ยเสมอกันกับกันชนหน้า
และในส่วนกันชนท้าย ก็ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากของร่างต้นเท่าไหร่นัก เนื่องจากดั้งเดิมมันก็ค่อนข้างมีความสปอร์ตติดตัวไว้เยอะอยู่แล้ว แต่สำหรับตัวรถรหัส N จะมีการเปลี่ยนรายละเอียดช่วงดิฟฟิวเซอร์ใหม่ ให้มีไฟเบรกด้านล่าง และเพิ่มปลายท่อ จากออกด้านขวา 2 ปาก ฝั่งเดียว เป็นออกคู่ซ้าย-ขวา ฝั่งละ 1 ปาก รวมถึงไม่ลืมที่จะใส่สปอยเลอร์หลังมาให้ด้วยที่ฝากระโปรงท้ายตามฉบับรถซิ่ง
สุดท้ายคือชุดล้ออัลลอยด์ลายใหม่ ขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยาง Michelin PILOT SPORT 4 S ขนาด 245/35 R19 ทั้ง 4 เส้น
ฝั่งภายในห้องโดยสารเอง ก็มีหลายจุดที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป เพราะแม้งานออกแบบคอนโซลหน้าจะเหมือนเดิมทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งชุดจอมาตรวัด ที่จะเชื่อมต่อกับจอระบบอินโฟเทนเมนท์เป็นแนวเดียว
แต่พวงมาลัยของมันได้ถูกปรับใหม่ จากแบบ 2 ก้านใหญ่ 2 ก้านเล็ก เป็นแบบ 3 ก้านฉบับรถซิ่ง พร้อมแป้นแพดเดิ้ลชิฟท์ (ในรุ่นเกียร์ DCT) และลูกบิดปรับโหมดเครื่องยนต์ ส่วนคันเกียร์เอง ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นแบบหัวเรียว เพื่อความกระชับในการจับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์มากขึ้น แป้นเบรก/คันเร่ง/คลัทช์ ก็เปลี่ยนไปใช้ชิ้นงานอลูมิเนียม
และสุดท้ายคือเบาะนั่ง ที่นอกจากจะเปลี่ยนรูปทรงเบาะคู่หน้าเป็นแบบกึ่งบัคเก็ทซีทแล้ว ยังถูกเปลี่ยนไปหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สลับหนังอัลคันทาร่า ซึ่งรวมถึงเบาะแถวหลังด้วย
ด้านขุมกำลังตัวรถ ได้เปลี่ยนมาใช้บล็อคเบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 280 PS และแรงบิดสูงสุด 392 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ DCT 8 สปีด พร้อมระบบ N Grin Shift หรือ หากลูกค้าชอบความดิบ จะเลือกออพชันเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ก็มีให้
ส่วนระบบขับเคลื่อน แม้จะเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็มาพร้อมกับระบบเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปไฟฟ้า และทำให้รถสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 5.3 วินาที รวมถึงมีความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทั้งนี้ นอกจากการยืนยันเปิดตัว ทาง Hyundai ก็ยังไม่มีการเปิดเผยว่าพวกเขาจะพร้อมวางจำหน่าย ตัวรถรุ่นนี้ด้วยราคาเท่าไหร่ หรือจะพร้อมส่งมอบตอนไหน ซึ่งเราก็มีแต่จะต้องรอติดตามกันต่อไป จนกว่าจะถึงกำหนดวันเปิดตัวจริงในงาน Motor Expo 2023 สิ้นเดือนนี้เท่านั้น