แม้ในไทย เราจะมี Mazda CX-8 ได้ชื่อว่าเป็นรถเอสยูวี 7 ที่นั่งที่ใหญ่ที่สุด แต่ล่าสุด 2024 Mazda CX-90 พี่ใหญ่สุดของตระกูลกลับได้ถูกเผยโฉมจริงออกมาแล้ว แถมยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินที่แรงที่สุดเท่าที่ค่ายเคยทำขายมาอีกด้วย
ก่อนอื่น 2024 Mazda CX-90 ที่ทุกท่านเห็นกันอยู่ในขณะนี้ ต้องบอกว่ามันคือรถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลูกค้าในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ ดังนั้นแม้ทางค่ายจะยังไม่มีการเปิดเผยเลขมิติตัวถังของมันออกมา เราจึงคาดว่ามันจะมีมิติตัวถังที่ใหญ่กว่า CX-8 ขึ้นไปอีกราวๆ 10 เซนติเมตร เป็นอย่างน้อย ทั้งในส่วนของด้านกว้าง และด้านยาวแน่นอน
นอกนั้นในส่วนงานออกแบบรอบคัน เราก็พบว่ามันจะยังคงมาพร้อมกับเส้นสาย “Kodo Design” เช่นเดิม แต่ถูกปรับใหม่ ให้ดูมีเหลี่ยมสันมากขึ้น เพื่อเน้นย้ำความรู้สึกใหญ่โตให้กับตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นกรอบกระจังหน้าที่มีเส้นกรอบแข็งกร้าวขึ้น ไฟหน้าที่ดูเล็กลง ชุดกันชนหน้าที่ดูบึ้งตึงเล็กน้อย
เส้นสายด้านข้าง จะยังคงเน้นความเรียบง่าย ด้วยซุ้มล้อที่โค้งมน และการใช้เส้นตรงเพียงแค่ในส่วนของชายล่างบานประตู ขนานคู่ไปกับกรอบกระจกหน้าต่างทางด้านข้างก็เท่านั้น และแม้กรอบไฟหน้าจะเล็กลง แต่กรอบไฟท้ายดันกว้างขึ้น แต่อย่างน้อยก็ถูกปรับให้บางลงตามยุคสมัย
พร้อมเพิ่มแถบโครเมียมที่กันชนท้ายอีกเล็กน้อยเพื่อความหรูหรา เช่นเดียวกับที่กรอบกระจกข้างด้านบน ชายล่างบานประตู ชายล่างกันชนหน้า เพลทรุ่นที่แก้มข้าง และเก็บงานด้วยราวหลังคาด้านบนสีเงิน กับล้ออัลลอยด์ขอบ 21 นิ้ว ที่มีการกัดผิวก้านเพื่อเผยให้เห็นความเงาของเนื้อล้อ
ภายในห้องโดยสาร ก็ยังคงใช้เส้นสายที่ดูเนี๊ยบ แต่เรียบง่าย ด้วยแผงคอนโซลขนาดใหญ่แนวนอนเป็นเส้นตรง บุด้วยผ้าวัสดุรีไซเคิลตามยุคสมัย โดยที่แผงคอนโซลด้านบนจะเป็นชิ้นงานหุ้มหนังสีดำ ขณะที่ครึ่งล่างก็เป็นชิ้นส่วนงานสีครีม เพื่อเพิ่มมิติในเรื่องมุมอง ไม่เว้นแม้กระทั่งคอนโซลเกียร์ ที่ยังคงดูเรียบง่ายแต่หรูหราไปพร้อมๆกันอีกเช่นเคย ด้วยการใช้วัสดุลายไม้ เช่นเดียวกับแผงประตู ที่ตกแต่งด้วยวัสดุรูปแบบเดียวกันทั้งชุด
ส่วนลูกเล่นต่างๆที่อยู่ภายในห้องโดยสารก็มีทั้ง ชุดจอกลางขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งการควบคุมก็จะยังคงใช้ลูกบิดตรงคอนโซลเกียร์เช่นเดิม, ชุดจอ HUD เหนือจอมาตรดวัด ซึ่งแม้จะไม่มีการระบุขนาด และหากมองด้วยตา อาจเหมือนเป็นมาตรวัดเข็มกวาด 3 วง แต่จริงๆแล้วมันคือจอ TFT Full Digital ทั้งชุดที่มีความคมชัดสูงมาก ส่วนพอร์ทเชื่อมต่อและพอร์ทชาร์จไฟ USB Type-C ก็มีให้ครบครันตั้งแต่เบาะแถวแรกไปจนถึงเบาะแถวสาม เช่นเดียวกับช่องแอร์
ฝั่งระบบความปลอดภัย แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดมากนัก แต่ทาง Mazda ก็ระบุว่ามันจะมาพร้อมกับ ระบบ i-Activsense ซึ่งจะประกอบไปด้วย ระบบ Active cruise control, ระบบ Dynamic braking, และ ระบบ Blind-spot monitoring มาให้เป็นระบบพื้นฐานติดรถตั้งแต่ออกโรงงานในตัวรถทุกรุ่นย่อย
ด้านระบบช่วงล่างเอง ทาง Mazda ก็ยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอีดยออกมามากนักเช่นกัน แต่พวกเขาก็ได้ระบุว่า ด้วยการวางตำแหน่งเครื่องยนต์ให้เป็นแบบแนวยาวไปกับตัวถัง กับการใช้กลไกระบบกันสะเทือนหลังแบบ Kinematic Posture Control ซึ่งดั้งเดิมถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับรถสปอร์ตขนาดเล็กอย่าง MX-5
ประกอบกับตัวถังที่ถูกออกแบบให้มีความแข็งแรง และการเซ็ทอัพช่วงล่างที่เน้นในเรื่องความสมดุลและการควบคุมเป็นหลัก บวกกับระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ AWD ในทุกรุ่นย่อย ทาง Mazda จึงยืนยันว่ามันจะให้ความรู้สึกเหมือนกับการขับรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) มากกว่ารถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งทั่วๆไปแน่นอน
สุดท้ายคือจุดขายสำคัญที่สุดของตัวรถ นั่นคือขุมกำลังเครื่องยนต์ ซึ่งจะมีให้เลือก 2 แบบตามความต้องการของลูกค้า เริ่มจาก เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง เทอร์โบ ขนาด 3.3 ลิตร พ่วงระบบ Mild-Hybrid ที่ให้กำลังสูงสุดมากถึง 345 PS กับแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ซึ่งทาง Mazda ระบุว่านี่คือเครื่องยนต์ที่แรงที่สุดแล้ว เท่าที่ค่ายเคยทำขายมา
ส่วนอีกขุมกำลัง จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.5 ลิตร ที่ชาวไทยค่อนข้างคุ้นเคย เพราะมันเองก็ถูกใช้ใน CX-8 แต่ด้วยตัวถังรถที่ใหญ่ขึ้น มันจึงได้รับการปรับจูนใหม่ แถมยังจับคู่การทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในลักษณะของระบบ Plug-In Hybrid ที่ดึงกระแสไฟมาจากแบตเตอรี่ขนาด 17.8 kWh จึงส่งผลให้พละกำลังสูงสุดที่ได้ มีตัวเลขคือ 327 PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 500 นิวตันเมตร
โดยขุมกำลังทั้งสองแบบ จะทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ต่างถูกปรับเซ็ทการทำงานให้เหมาะกับขุมกำลังทั้งสองแบบมากที่สุด แตกต่างกันไป และจะส่งทั้งแรงม้าและแรงบิดทั้งหมดไปยังชุดล้อทั้ง 4 แบบ AWD ดังที่เราได้ระบไปแล้วก่อนหน้านี้
ส่วนตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง หรือแม้แต่ระยะทางในการวิ่งสูงสุดด้วยโหมด EV กับ ระยะเวลาในการชาร์จ ในฝั่งรถรุ่น Plug-In Hybrid ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ออกมา จึงทำให้เราต้องรอการอัพเดทข้อมูลกันต่อไป จนกว่าจะถึงกำหนดการวางขายจริง ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไม่เกินปลายปีนี้