อาจจะจริงอยู่ว่า Toyota Highlander ก็ถือว่าเป็นรถเอสยูวีที่ใหญ่กว่า Toyota Fortuner ขึ้นไปอีกระดับ แต่ดูเหมือนนั่นจะยังใหญ่ไม่พอสำหรับชาวอเมริกัน จึงทำให้ 2024 Toyota Grand Highlander เอสยูวีขนาดกลาง ที่ไม่กลาง ต้องถูกเปิดตัวออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขาเหล่านั้น
2024 Toyota Grand Highlander ถูกสร้างขึ้นบนแพลทฟอร์มเดียวกันกับ Toyota Highlander ซึ่งแม้จะไม่สูงเท่า Toyota Fortuner ที่ชาวไทยรู้จักกันดี เพราะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานของรถกระบะ แต่ก็มีความโดดเด่นในเรื่องมิติด้านกว้าง และด้านยาวที่มากกว่า เพื่อเพิ่มขนาดพื้นที่ภายในห้องโดยสาร
และเจ้า Grand Highlander ที่ว่านี้ ถึงจะยังคงมีเบาะโดยสารสำหรับผู้ใช้ทั้งหมด 7 ที่นั่งเท่าเดิม แต่ด้วยการเพิ่มความยาวตัวถังออกไปถึง 165 มิลลิเมตร เป็น 5,115 มิลลิเมตร แม้แต่ความสูงก็ยังมากขึ้นกว่าเดิมอีก 51 มิลลิเมตร และความกว้างตัวรถเองก็ยังมากขึ้นอีก 58 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับระยะฐานล้อที่ยาวขึ้นอีก 102 มิลลิเมตร เป็น 2,946 มิลลิเมตร
จึงทำให้ผู้โดยสารในเบาะแถวสาม สามารถนั่งในรถได้อย่างสะดวกสบายขึ้นอีกมาก ขนาดที่ผู้ใหญ่สูง 1.8 เมตร ก็ยังสามารถนั่งได้สบายๆในตำแหน่งดังกล่าว หรือถ้าผู้ขับอยากจะเก็บสัมภาระ เมื่อพับเบาะแถวสองและแถวสามนอนราบ มันก็มีพื้นที่ให้เก็บสัมภาระได้สูงสุด 2,775 ลิตร ซึ่งมากกว่า Highlander ถึง 396 ลิตร เลยทีเดียว
ความ “แกรนด์” ที่ว่า ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะนอกจากมิติตัวถังที่ใหญ่ขึ้น การตกแต่งต่างๆของตัวรถทั้งภายนอก และภายใน ยังถูกปรับใหม่ให้มันดูมีความหรูหรา โอ่อ่ามากขึ้นด้วย
เริ่มจากตัวถังภายนอก ที่ถูกปรับเส้นสายใหม่ ให้ตัวรถดูมีความบึกบึน และเป็นเหลี่ยม เป็นสันขึ้นอีกนิดตั้งแต่หัวจรดท้าย ก่อนที่จะเสริมความโดดเด่นสะดุดตาผู้ใหญ่ ด้วยการใส่ชิ้นส่วนแถบโครเมียม หรือชิ้นส่วนแวววาวเข้าไปตามส่วนต่างๆ
ทั้งกรอบกระจังหน้า ที่ลากเป็นแถบจากใต้แนวไฟหน้า และลากเส้นขึ้นไปตามแนวกรอบทางด้านบนก่อนจะไปจรดอีกฝั่งของไฟหน้า, ตัวช่องดักลมแม้จะไม่ได้ใช้สีโครเมียม แต่ก็เป็นงานพลาสติกสีดำเงา และที่ชายล่าง ก็มีแถบอลูมิเนียมคาดกลางเอาไว้ แม้แต่ในฝั่งชุดล้อเอง ก็ยังมีให้เลือกทั้งแบบกัดลายเผยให้เห็นเนื้ออลูมิเนียม หรือ แบบชุบด้วยโครเมียมทั้งวงก็ยังได้
ด้านงานตกแต่งภายใน แม้จะไม่ได้เน้นโทนสีมันวาวเหมือนภายนอกเท่าไหร่นัก เพราะมีเพียงมือจับประตูสีโครเมียมเท่านั้น ที่มีผิวงานในลักษณะดังกล่าว แต่ก็ดูโอ่อ่าด้วยแผงคอนโซลขนาดใหญ่ ซึ่งมีการเล่นบรรยากาศคันทรีเล็กน้อยด้วยแถบลายไม้ตามชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรอบแอร์ ก้านพวงมาลัย หรือที่คอนโซลกลาง แม้แต่ฐานคันเกียร์
ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ยังเริ่มด้วยการติดตั้งชุดหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งรอบรับการเชื่อมต่อกับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, ที่แท่นครอบอุโมงค์เกียร์ตรงกลาง ก็มีจุดชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไวร์เลสชาร์จ, พอร์ทชาร์จไฟที่ให้แบบ USB Type-C ก็มีมากถึง 7 จุด เรียกได้ว่าครบสำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง
แม้แต่ที่วางแก้วยังมีมากถึง 13 ตำแหน่ง แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้ เสริมด้วยระบบ Wi-Fi hotspot ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้มากถึง 5 เครื่อง และเสียงเพลงที่ได้ยิน ก็จะมาจากลำโพงของ JBL ถึง 11 จุด รอบห้องโดยสาร
โดยที่ระบบแอร์นอกจากจะเป็นแบบแยกส่วนทางด้านหน้า ยังมีแบบแยกส่วนไว้สำหรับผู้โดยสารแถวสองกับแถวสามด้วย และสุดท้ายคือตัวเบาะนั่งโดยสารที่ใหญ่โตรับกับขนาดตัวของคนอเมริกันได้เป็นอย่างดี โดยที่ตัวเบาะหน้าคู่หน้าก็เป็นแบบปรับไฟฟ้า ซึ่งจะแบ่งเป็นปรับได้ 10 ทิศทาง สำหรับผู้ขับ และ 8 ทิศทางสำหรับผู้โดยสารทางด้านข้าง
ด้านขุมกำลัง น่าเสียดายที่ในการเปิดตัวครั้งนี้ ยังเป็นแค่เพียงการเปิดตัวแบบ “ยั่วๆบดๆ” ให้ชาวอเมริกันได้ตั้งตารอคอยกันก่อนเท่านั้น จนกว่าจะมีการวางขายจริงในช่วงปลายปี จึงทำให้ทางค่ายยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดมากนัก
แต่ทาง Toyota ก็ระบุว่า มันจะมาพร้อมกับขุมกำลังให้เลือก 2 แบบ ด้วยกัน ได้แก่ บล็อคเบนซิน 2.4 ลิตร และ เบนซิน 2.5 ลิตร พ่วงระบบไฮบริด ซึ่งทางค่ายเคยนำไปใช้มาแล้วกับ Toyota Crown SUV รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเครื่องยนต์ลูกหลังนั้น จะถูกปรับจูนใหม่ ให้สามารถทำแรงม้าได้มากถึงอีก 30.4 PS เป็น 367 PS และมีแรงบิดสูงสุดที่ 542 นิวตันเมตร
ทว่าเนื่องจากตัวรถมีน้ำหนักมากถึง 2,268 กิโลกรัม จึงทำให้มันสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.3 วินาที เท่านั้น ส่วนความเร็วสูงสุด ยังไม่ได้มีการเปิดเผยแต่อย่างใด ทว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่คนต้องการรถยนต์รุ่นนี้ จะสนใจกันเป็นเรื่องแรกๆอยู่แล้ว