แม้ Toyota Alphard จะได้ชื่อว่าเป็นรถตู้ระดับพรีเมียมที่ดีที่สุดของค่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขายังมี Toyota Majesty ที่ในตอนนี้มันได้กลับมาวางจำหน่ายในประเทศไทย ปี 2024 กันอีกครั้ง พร้อมกับการปรับปรุงรายละเอียดใหม่ เพื่อให้การใช้งานมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
2024 Toyota Majesty รุ่นใหม่ ที่ทาง Toyota นำกลับมาทำตลาดในประเทศไทยอีกครั้ง คราวนี้หากมองเพียงผ่านตาที่งานออกแบบภายนอก มันก็อาจดูเหมือนไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใดๆเท่าไหร่นัก
เพราะมันยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกันกับ Toyota HiAce เจเนอเรชันที่ 6 แต่ถูกตกแต่งเสริมความหรูหราภายนอกด้วย กระจังหน้าโครเมียม, ไฟตัดหมอกพร้อมกรอบโครเมียม, ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (DRL), ไฟท้ายแบบ LED พร้อมกรอบคาดกลางโครเมียม, กระจกมองข้างกรอบโครเมียมพร้อมสัญญาณไฟเลี้ยว, มือจับเปิดประตูโครเมียม, แถบโครเมียมตามชายล่างตัวรถ, และ ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ลายปัดเงา
ซึ่งทั้งหมดล้วนยังคงเป็นดีไซน์เดิมกับตัวรถที่ทางค่ายเคยขายเมื่อปี 2019-2020
งานออกแบบการตกแต่งภายในห้องโดยสารเอง ก็ยังคงคล้ายเดิมเกือบทุกจุด โดยเฉพาะในส่วนของชุดคอนโซลหน้า ที่ยังคงใช้งานออกแบบเดิม มาพร้อมกับการตกแต่งด้วยลวดลายแผ่นไม้และกรอบสีเงินตามช่องแอร์และอื่นๆดังเดิม แม้แต่แผ่นปิดบริเวณปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศและฐานคันเกียร์ก็ยังทำสีเปียโนแบล็คดังเดิม
นอกนั้นในส่วนของลูกเล่นต่างๆ ก็ยังคงประกอบไปด้วย
- พวงมาลัยตกแต่งด้วยลายไม้พร้อมปรับระดับ 4 ทิศทาง
- มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID
- จอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto
- ระบบควบคุมอุณหภูมิให้ความเย็นสบายในการเดินทางที่มาพร้อมกับระบบกรองอากาศ nanoe
- ที่วางแก้วน้ำและช่องจ่ายกระแสไฟฟ้า 12 โวลต์ พร้อมช่องต่ออุปกรณ์เสริม USB-C 6 ตำแหน่งและ USB-A 1 ตำแหน่ง
- ม่านบังแดดและไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน
- ไฟส่องสว่าง Illumination ภายในห้องโดยสาร
และสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนที่สุดของมันในคราวนี้ก็คือ การปรับรูปแบบตำแหน่งเบาะนั่งใหม่ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยเน้นความสะดวกสบาย ซึ่งออกแบบผังที่นั่งเป็นแบบ 2-3-2-4 เพื่อตอบสนองลูกค้าทั้งกลุ่มผู้บริหารและกลุ่มครอบครัว
- สำหรับเบาะผู้โดยสารคู่หน้ามีการปรับเก้าอี้เป็นแบบ 1:1 ที่นั่ง ไม่มีเบาะคั่นกลางอีกต่อไป และเพิ่มฟังก์ชั่นการปรับเบาะเป็น 4 ทิศทาง โดยในรุ่น Grande จะเป็นการปรับแบบไฟฟ้าและปรับระดับเก้าอี้ด้านข้างเบาะ
- ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหลังในแถวที่ 1 – 2 จะเป็นที่นั่งแบบ Captain Seats ทั้งหมด 4 ที่นั่ง และสามารถปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมหัวหมอนแบบ Butterfly ที่รองน่อง
ทั้งนี้ในเบาะนั่งแถวที่ 1 ยังมีเบาะผู้โดยสารตำแหน่งกลางและหัวหมอนคั่นกลาง ซึ่งตัวเบาะที่ว่านี้จะสามารถพับเป็นที่วางแขน และที่วางแก้วน้ำ ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
และหากเป็นรุ่น Grande ตัวเบาะผู้โดยสารแถว 1 ก็จะมี ระบบนวดไฟฟ้าติดตั้งมาให้ด้วย - สำหรับเบาะผู้โดยสารแถวสุดท้ายจะเป็นแบบ Bench Seat 4 ที่นั่ง ที่มีหัวหมอนทุกที่นั่ง
ขุมกำลังของตัวรถ ยังคงเป็นเครื่องยนต์ GD ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ (163 แรงม้า) ที่ 3,600 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ดังเดิม แต่ได้รับการปรับปรุงจนสามารถผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro 5 มาแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ระบบช่วงล่างด้านหลังแบบโฟร์ลิงค์คอยล์สปริง ยังคงมีมาให้ดังเดิม เช่นเดียวกับระบบเบรกแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ
ในส่วนระบบความปลอดภัยก็จะมีทั้ง
- ถุงลมเสริมความปลอดภัย (SRS Airbags)
- ระบบเบรก ABS และ EBD
- ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC)
- ระบบเสริมแรงเบรก (BA)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (BSM)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (RCTA)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
- กล้องมองหลัง (Back Camera)
- กล้องมองรอบคัน (PVM)
- กล้องวีดิโอบันทึกภาพติดรถยนต์ (DVR)
- ระบบแจ้งเตือนลมยาง (TPMS)
- จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISO-FIX & Top Tether)
- ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Lights)
- ไฟตัดหมอกหน้า
- ไฟเบรกดวงที่สาม ระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ เมื่อเบรกกระทันหัน (ESS)
และมีระบบ TOYOTA SAFETY SENSE มาให้สำหรับรุ่น Grande
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System)
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane Departure Alert)
- ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control)
- ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams)
โดยตัวรถ Toyota Majesty รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2024 มีรุ่นย่อยให้เลือก 2 แบบด้วยกัน ได้แก่
- Grande : 2,329,000 บาท
- Premium : 1,989,000 บาท
และมี 2 เฉดสีให้เลือก คือ สีดำ – Black Mica (ภายในสี Black และ Beige) และ สีขาวมุก – White Pearl (ภายในสี Black) ซึ่งตัวเลือกสีอย่างหลัง จะมีการบวกค่าสีเพิ่มอีก 15,000 บาท