หลังการปล่อยทีเซอร์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ในที่สุดก็ถึงเวลาสักทีที่ All-New MG HS จะถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการให้ชาวโลกได้จับตามอง
All-New MG HS มาพร้อมกับการออกแบบและโครงสร้างใหม่หมดทั้งคัน โดยหากอิงตามข้อมูลที่เราได้เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ เชื่อว่าผู้ติดตามคงพอจะทราบกันดีว่าแท้จริงแล้ว มันใช้พื้นฐานตัวรถร่วมกันกับ อีกหนึ่งรถยนต์แบรนด์ลูกภายใต้ชายคา SAIC Motor บริษัทแม่ของ MG ในปัจจุบัน
นั่นคือ Roewe RX5 โฉมล่าสุด ซึ่งมีการเปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2022 โดยจะเห็นได้ชัดเจนจากสัดส่วนตัวถังในภาพรวม และชุดไฟหน้ากับไฟท้ายที่เหมือนกันเปี๊ยบ แต่นั่นก็ช่วยทำให้ตัวรถดูทันสมัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับ MG HS โฉมก่อนหน้า
และเพื่อให้ตัวรถ ดูเหมาะสมกับการใช้ชื่อแบรนด์ MG แปะหน้า ทางค่ายจึงได้มีการปรับงานออกแบบตัวรถใหม่ ทั้งในส่วนกันชนหน้า ที่จะมีการปรับปรุงให้มาพร้อมกับกระจังหน้าที่ทำหน้าที่เป็นช่องดักลมขนาดใหญ่กว่าเดิม แต่ยังคงใช้กรอบรูปทรงเดิมกับตัวรถ MG HS โฉมล่าสุด ไม่เว้นแม้กระทั่งกรอบช่องดักลมด้านข้าง ที่เป็นจุดติดตั้งชุดไฟตัดหมอก ไม่ใช่แถบไฟ DRL แนวตั้งอีกต่อไป
และที่ขาดไม่ได้ คือช่องดักลมใต้กันชนหน้าที่ดูเล็กลงกว่าเดิม เพราะต้องแบ่งพื้นที่ให้ช่องกระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้น แต่มันยังคงเป็นตำแหน่งสำหรับการติดตั้งชุดเรดาร์เซนเซอร์สำหรับตรวจจับวัตถุด้านหน้ารถดังเดิม
นอกนั้นในส่วนของด้านข้างและด้านท้ายตัวรถ แทบไม่ได้มีความแตกต่างไปจากคู่แฝดเท่าไหร่นัก เว้นเพียงลวดลายของชุดล้อขนาด 19 นิ้ว ที่เป็นลายเฉพาะตัว และเปลี่ยนรูปทรงสปอยเลอร์หลังใหม่ จากแบบแยกส่วนซ้าย-ขวา เป็นแบบชิ้นเดียวขวางตลอดแนวหลังคาตามปกติ
ด้านมิติตัวรถเอง หากอิงตามตัวเลขสเป็คของรถเวอร์ชันสำหรับการทำตลาดในทวีปยุโรป มันก็จะมาพร้อมกับความยาว 4,636 มิลลิเมตร, ความกว้าง 1,890 มิลลิเมตร, ระยะฐานล้ออีก 2,750 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่ายาวกว่ารุ่นพี่ 26 มิลลิเมตร, กว้างกว่าอีก 14 มิลลิเมตร และยังมีระยะฐานล้อที่ยาวกว่าเดิมอยู่ 30 มิลลิเมตร แต่ความสูงตัวรถ กลับน้อยลงมาอีก 30 มิลลิเมตรเช่นกัน
นอกนั้นในฝั่งงานออกแบบภายในห้องโดยสาร ก็มีการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด (เมื่อเทียบกับโฉมก่อน แต่ทั้งหมดก็อ้างอิงมาจากคู่แฝดอย่าง Roewe RX5 โฉมล่าสุด อยู่ดี) และยังคงโดดเด่น ทันสมัยด้วยชุดหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถ กับข้อมูลระบบอินโฟเทนเมนท์ จอละ 12.3 นิ้ว ซึ่งเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกันและติดตั้งแบบกึ่งลอยตัวจากคอนโซลหน้าออกมา
โดยตัวจอระบบอินโฟเทนเมนท์ที่ว่า จะใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันกับ MG3 และ MG4 ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Apple CarPlay และ Android Auto และยังมีระบบนำทางในตัว รวมถึงระบบ Amazon Music ติดตั้งมาให้เสร็จสรรพ
นอกนั้นในส่วนงานออกแบบชิ้นส่วนอื่นๆเพิ่มเติม ก็มีทั้งชุดพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน, ลูกบิดปรับตำแหน่งเกียร์, แท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และฝั่งผู้โดยสารอีก 4 ทิศทาง, ระบบเครื่องเสียง 8 ตำแหน่ง, ระบบกล้อง 360 องศา, ระบบกุญแจคีย์เลส, และมีพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระทางด้านหลังขนาด 44 – 507 ลิตร
ส่วนระบบความปลอดภัยขั้นสูง หรือระบบ ADAS ก็ให้มาครบครัน ทั้งระบบช่วยเบรก, ระบบป้องกันการหลุดออกนอกเลน, ระบบรักษาการอยู่ในเลน, ระบบคุมความเร็วแบบแปรผัน, ระบบแจ้งเตือนวัตถุในมุมอับ, ระบบเตือนการชนทางด้านหลัง, และระบบแจ้งเตือนการเปิด-ปิดประตู เป็นต้น
ด้านขุมกำลังตัวรถสำหรับรุ่นที่วางจำหน่ายในทวีปยุโรปเอง ก็ถือว่ามีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย ทั้งรุ่นขุมกำลังเครื่องยนต์เบนซินล้วน ขนาด 1.5 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ ซึ่งให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า PS และแรงบิดสูงสุด 275 นิวตันเมตร จับคู่กับชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด หรือ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด
และยังมีรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดแบบ PHEV ซึ่งผสานการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศให้กำลังสูงสุด 142 แรงม้า PS เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 209 แรงม้า PS ซึ่งช่วยให้รถสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 6.8 วินาที เท่านั้น
และในฝั่งแบตเตอรี่เอง ก็ยังมีการปรับขนาดเพิ่มขึ้นจากใน HS PHEV รุ่นก่อนหน้าที่เคยใช้แบตเตอรี่ขนาด 16.6 kWh ให้กลายเป็นแบตเตอรี่ขนาด 24.7 kWh ซึ่งช่วยให้มันสามารถทำระยะทางในการวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนได้ไกลสุดถึง 120 กิโลเมตรเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี ยังมีข้อมูลจากสื่อในฝั่งประเทศออสเตรเลีย ระบุว่าสำหรับตัวรถ MG HS รุ่นใหม่ ที่จะถูกส่งไปวางจำหน่ายในประเทศของพวกเขานั้น นอกจากจะมีทางเลือกรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบ แล้ว พวกเขาจะมีรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบเสริมทัพด้วย เพียงแต่ยังไม่มีการระบุตัวเลขพละกำลังสูงสุดใดๆในเอกสารที่หลุดออกมา
ส่วนการวางจำหน่ายในประเทศไทย คาดว่าจะต้องมีรุ่นที่ใช้ขุมกำลัง PHEV แน่นอน แต่ตัวเลือกรุ่นขุมกำลังเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน ยังไม่สามารถคาดเดาใดๆได้ทั้งสิ้นอย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงช่วงเวลาใกล้เปิดตัว ซึ่งไม่แน่ว่าอาจเกิดขึ้นภายในช่วงไม่เกินสิ้นปีนี้เป็นอย่างเร็ว