Home » 2025 Bentley Continental GT ปรับโฉมใหญ่ ใส่ขุมกำลัง PHEV 782 แรงม้า
รถใหม่ รถใหม่ต่างประเทศ

2025 Bentley Continental GT ปรับโฉมใหญ่ ใส่ขุมกำลัง PHEV 782 แรงม้า

หลังประกาศยุติการรับจองตัวรถพร้อมขุมกำลัง V8 ล้วนไปเพียงไม่นาน ในวันนี้ Bentley ก็ได้เปิดตัว Continental GT รุ่นใหม่ สำหรับปี 2025 ออกมาทันที พร้อมระบุว่าตอนนี้มันจะมีแต่รุ่นขุมกำลังไฮบริดเท่านั้นให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ

2025 Bentley Continental GT ถือเได้ว่าเป็นการปรับโฉมเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 4 อย่างเป็นทางการ ซึ่งการปรับโฉมครั้งใหญ่ในคราวนี้ ต้องบอกว่ามันมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากรุ่นพี่ไปหลายประการด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องขุมกำลัง ที่นอกจากมันจะไม่มีรุ่นเครื่องยนต์ W12 อันเป็นตำนานของแบรนด์เหมือนพี่ๆทั้ง 3 เจเนอเรชันก่อนหน้า อีกต่อไปแล้ว ขุมกำลัง V8 ของมัน ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบ Plug-In Hybrid เป็นครั้งแรกของตระกูลอีกด้วย

โดยคราวนี้ เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบคู่ของมัน ได้รับการปรับจูนใหม่ จนสามารถขยับแรงม้าสูงสุด จาก 550 PS เป็น 600 PS ซึ่งอาจจะสูงขึ้นกว่ารุ่น V8 เดิม แต่ยังแรงไม่พอที่จะทดแทนรุ่นเครื่องยนต์ W12 ที่หายไป

ดังนั้น มันจึงต้องทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 190 PS อีกหนึ่งตัว ผ่านการทำงานโดยมีชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 สปีดเป็นตัวเชื่อม ส่งผลให้พละกำลังสุทธิที่ได้ เมื่อทั้งสองขุมกำลังทำงานร่วมกัน มีตัวเลขที่ 782 PS และแรงบิดสูงสุดอีก 1,000 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าแรงกว่าขุมกำลัง W12 6.0 ลิตร เทอร์โบคู่ได้แล้วในที่สุด

และเนื่องจากตัวรถถูกระบุว่ามาพร้อมกับระบบขุมกำลังแบบ Plug-In Hybrid ดังนั้น มันจึงได้รับการติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 25.9 kWh เข้าไป ซึ่งหากผู้ใช้อยากหนีออกจากบ้านไปแบบเงียบๆ ก็สามารถเปิดโหมดขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆแล้ววิ่งได้ไกลสุดราวๆ 40 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP แต่เวลาในการชาร์จไฟกลับอาจนานสักหน่อย ที่ 2 ชั่วโมง 45 นาที ด้วยแรงดันไฟในการชาร์จกระแสกลับแค่เพียง 11 kW เท่านั้น

โดยแม้น้ำหนักตัวรถจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 192 กิโลกรัม แต่ด้วยแรงบิดที่สูงขึ้นมาก ประกอบกับความไวในการตอบสนองต่อคันเร่งของมอเตออร์ไฟฟ้า จึงทำให้มันสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 3.2 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่ารุ่นพี่เครื่องยนต์ W12 อยู่ 0.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดยังคงจำกัดไว้เท่าเดิมที่ 335 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่นหลังคาแข็ง และจะลดลงเหลือ 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่น GTC ซึ่งเป็นรุ่นเปิดประทุน

อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวรถสามารถเรียกอัตราเร่งได้ดียิ่งขึ้น ก็คือการปรับปรุงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ All-Wheel-Drive ใหม่ ทั้งในส่วนของระบบคุมแรงบิด Torque Vectoring, ชุดเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปสำหรับชุดล้อคู่หลัง

ไม่เพียงเท่านั้น ตัวรถยังถูกเสริมสมรรถนะในการควบคุมด้วยระบบช่วงล่างไฟฟ้า ซึ่งประกอบไปด้วยเหล็กกันโคลงไฟฟ้า ที่สามารถปรับเปลี่ยนความแข็ง-อ่อน และการทำงานได้ตามสภาวะการใช้งาน, ระบบช่วงล่างถุงลมแบบ Two-Chamber (2 ช่องลม เพื่อรองรับการซับแรงจากผิวถนนได้อย่างครอบคลุม), ระบบโช้กไฟฟ้าที่สามารถแปรผันความหนืดได้ตามสภาพผิวถนนและโหมดการขับขี่

ปรับปรุงระบบควบคุมสเถียรภาพ, ระบบเลี้ยวสี่ล้อ, และยังมีการปรับปรุงโครงสร้างตัวถังใหม่ ซึ่งช่วยทั้งในมุมของความนุ่มนวล และการคุวบคุมตัวรถที่ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับตัวรถโฉมก่อน

ขณะที่ระบบเบรกเอง ก็มีทางเลือกให้ลูกค้าได้ตัดสินใจ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่จานเบรกเหล็ก 2 ชั้น พร้อมครีบรีดอากาศ ซึ่งเป็นออพชันพื้นฐาน หรือ จานเบรกคาร์บอนที่ขนาดใหญ่กว่า แต่ต้องเสียเงินอัพเกรดเพิ่ม ส่วนคาลิปเปอร์เบรก ก็จะยังคงเป็นคาลิปเปอร์เบรก 10 พอท สำหรับจานเบรกคู่หน้า และ 4 พอท สำหรับจานเบรกคู่หลัง

ด้านงานออกแบบตัวรถเอง แม้จะบอกว่าตัวรถมีการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ แต่เส้นสายตัวรถโดยหลักแล้วจะยังคงอ้างอิงมาจากรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นกรอบหลังคา หรือเส้นสายบริเวณแก้มข้างของซุ้มล้อทั้งคู่หน้าและคู่หลัง แม้แต่ช่องกระจังหน้า กับช่องดักลม และกรอบไฟตัดหมอกที่กันชนหน้ายังคล้ายเดิม

แต่ในที่สุด ชุดโคมไฟคู่หน้าของ Continental GT ก็ได้ถูกเปลี่ยนจากโคมไฟ 4 ดวง เป็นโคม 2 ดวง แต่มีแถบไฟ DRL ขีดคาดเหมือนการกรีดอายไลน์เนอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดี โดยที่ตัวดวงไฟด้านในก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบ Matrix LED

ข้างตัวถังแม้เส้นซุ้มล้อ และงานออกแบบหลักจะคล้ายเดิม แต่ก็ไม่ปรากฏช่องระบายอากาศจากซุ้มล้อคู่หน้าทางด้านล่างอีกต่อไป ขณะที่ด้านท้ายรถก็มีการปรับโคมไฟคู่ท้ายใหม่ ให้ดูเรียวยาวเข้าไปด้านในของฝาท้ายมากขึ้น และตัวกันชนท้ายก็มีการปรับรายละเอียดใหม่ทั้งชิ้น โดยเฉพาะกับกรอบแบ่งชั้นพื้นที่สำหรับติดป้ายทะเบียน และกรอบปากท่อไอเสียเองก็ดูใหญ่โตขึ้นเช่นกัน

ภายในห้องโดยสารเอง ก็ยังคงใช้เส้นนสายงานออกแบบหลักที่ยึดโยงมาจากรุ่นพี่เจเนอเรชันที่ 3 เช่นกัน ซึ่งทำให้ใครหลายคนยิ่งมองว่าตัวรถเจเนอเรชันที่ 4 เหมือนเป็นโฉม Facelift มากกว่า แต่ทั้งนี้ก็เข้าใจได้ว่าของเดิมอาจจะดูหรูอยู่แล้ว และถูกใจลูกค้ามากพอแล้วก็ได้

ทว่าเพื่อความทันสมัย มันนจึงมาพร้อมกับชุดจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว ที่สามารถอัพเดทซอฟท์แวร์ผ่านระบบ OTA และยังสามารถพลิกกลับเพื่อปรับเป็นชุดจอมาตรวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์, แรงดันบูสท์, และเวลาแบบอนาล็อคได้อีก

ด้านเบาะนั่งก็มีการปรับเปลี่ยนลวดลายการตัดเย็บใหม่ แต่ยังคงฟังก์ชันในการปรับตำแหน่งเบาะกว่า 20 ทิศทางเอาไว้เช่นเดิม, ชุดลำโพงก็ยังคงเล่นใหญ่ด้วยลำโพง 18 ตำแหน่ง กำลังขับสูงสุดรวมกันได้ 2,200 วัตต์ ซึ่งหากรูปแบบการตกแต่งที่เห็นอยู่ยังถูกใจลูกค้าไม่พอ ลูกค้าก็สามารถเลือกเปลี่ยนวัสดุการตัดเย็บและการตกแต่งได้ตามใจชอบเท่าที่คุณจะจ่ายไหว

โดยกำหนดการส่งมอบตัวรถ 2025 Bentley Continental GT และ Bentley Continental GTC จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ แต่จะประเดิมเกิดขึ้นในทวีปยุโรปก่อน ตามด้วยสหรัฐอเมริกา ส่วนภูมิภาคเอเชียจะเกิดขึ้นหลังสุด

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.