ทิ้งช่วงกันไปนานพอสมควร นับตั้งแต่มีการเปิดตัว BMW 5-Series ไปเมื่อปีก่อน ตอนนี้ก็ได้เวลาของร่างตัวแรงกันบ้างกับ 2025 All-New BMW M5 ที่ได้รับการปรับโฉมใหญ่เข้าสู่เจเนอเรชันที่ 7 แล้วเป็นที่เรียบร้อย
เช่นเดียวกับในครั้งที่ผ่านมา 2025 BMW M5 เอง ก็จะเป็นตัวรถที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ BMW 5-Series แต่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายๆจุดตั้งแต่ภายในยันภายนอกเพื่อให้มันรองรับ และมีสมรรถนะสมกับเป็นตัวแรงจากตระกูล M
เริ่มจากงานออกแบบภายนอกใหม่หมด มีแค่เพียงทรงหลังคา, ไฟหน้า, ฝากระโปรงหน้า, ฝาท้าย และไฟท้าย เท่านั้น ที่ดูเหมือนร่างต้น
นอกนั้น ในส่วนของกระจังหน้า มีการปรับลวดลายใหม่งานออกแบบใหม่ ให้ดูสมกับความเป็นตระกูล M แต่ที่น่าสนใจคือ กระจังหน้ากลับดูทึบ และแทบไม่มีช่องให้อากาศไหลผ่านเลย จนแทบจะเหมือนกับกระจังหน้าของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะคราวนี้ทาง BMW M ได้ตัดสินใจย้ายชุดเซนเซอร์ และเรดาร์ตรวจจับวัตถุมาไว้บนตำแหน่งดังกล่าว แถมทางค่ายก็ยังไม่ลืมที่จะใส่กรอบไฟ LED แบบ Illuminate Grille มาให้อีก ตามยุคสมัยของแบรนด์ในปัจจุบัน
และในเมื่อเรดาร์กับเซนเซอร์ตรวจจับวัตถุด้านหน้า (ไม่รวมกล้องที่อยู่กับกระจกบานหน้าเหมือนเดิม) ได้ย้ายไปไว้ที่ตำแหน่งกระจังหน้า จึงทำให้ดีไซน์เนอร์สามารถขยายขนาดช่องดักลมบริเวณครึ่งล่างกันชนหน้าให้ใหญ่และกว้างได้มากขึ้น แต่การตีกรอบช่องลมต่างๆยังคงเน้นความเหลี่ยมสันแบบเส้นปริซึมดังเดิม เช่นเดียวกับกรอบช่องดักลมเป่าซุ้มล้อทางด้านข้าง
โดยแม้ตัวแก้มข้างตัวถัง อาจดูไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก แต่ในความเป็นจริงแล้วมันได้ถูกตีโป่งให้กว้างออกมามากกว่าเดิม โดยด้านหน้าจะกว้างขึ้นจากซ้ายสุดไปขวาสุด 3 นิ้ว และด้านหลังอีก 1.9 นิ้ว ทั้งนี้ก็เพื่อให้เข้ากับชุดล้อใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม พร้อมรัดด้วยยางขนาด 285/40 ZR20 และ 295/35 ZR21 ตามลำดับหน้า-หลัง ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกลายล้อได้ 3 แบบ แล้วแต่ชอบ
ส่วนด้านข้างตัวรถ ยังไม่ได้มีความแตกต่างจากเดิมมากนัก นอกจากชายล่างตัวถังใหม่ ที่หนาขึ้น เพื่อให้รับกับแก้มข้างหน้า-หลัง และที่สำคัญคือมันถูกทำสีแบบเดียวกับตัวถัง ไม่ได้ตัดโทนแต่อย่างใดเหมือนตัวรถรุ่นปกติ
แต่ถ้าคุณสังเกตกันให้ดีๆก็จะพบว่า ทั้งหลังคา และกรอบกระจกมองข้างของมัน ได้ถูกเปลี่ยนเป็นชิ้นงานคาร์บอนเรียบร้อยแล้วเพื่อการไล่น้ำหนักส่วนเกินออกไป แถมแผ่นปิดช่องกระจกที่เสา C ก็ได้ถูกปรับให้มาพร้อมกับการหล่อขึ้นรูปเป็นลายตรา M5 แล้วเป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่ด้านท้ายรถก็ดูอวบอั๋นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมเสริมความดุดันอีกนิดด้วยสปอยเลอร์หลังแบบ ลิปสปอยเลอร์ งานคาร์บอน และกันชนท้ายก็มีการปรับงานออกแบบใหม่ทั้งหมด ทั้งช่องรีดอากาศทางด้านข้างที่ใหญ่และยาวกว่าเดิม (เช่นเดียวกับแถบไฟทับทิมด้านใน), ช่องดิฟฟิวเซอร์ใต้กันชนที่ใหญ่ขึ้น ลึกขึ้น และแน่นอนว่าที่ขาดไม่ได้ ก็คือการเปลี่ยนมาใช้ปลายท่อไอเสียแบบออก 4 รู แยกฝั่งละ 2
ภายในห้องโดยสารยังคงใช้งานออกแบบคล้ายกับ BMW 5-Series แต่ด้วยความเป็นรถยนต์ตระกูล M มันจึงถูกเพิ่มความฉูดฉาดด้วยแพ็คเกจตกแต่ง BMW Individual Full Merino Metallic ซึ่งจะเน้นโทนสี ดำ แดง น้ำเงิน ตามจุดต่างๆของห้องโดยสาร
และแน่นอนว่ามันก็จะต้องได้รับการติดตั้งวัสดุตกแต่งห้องโดยสารงานคาร์บอน ที่คอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และแผงประตู ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบตัดตูด พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ขนาดใหญ่ และปุ่มปรับโหมดสีแดง เช่นเดียวกับแถบ Center Mark ก่อนปิดงานด้วยการเดินตะเข็บด้ายสี Tri-Color
ส่วนระบบอำนวยความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ก็ยังคงจัดมาให้ครบครัน โดยเฉพาะเบาะนั่ง ที่แม้จะดูสปอร์ตมากขึ้นกว่าตัวรถรุ่นปกติ แต่ยังคงเป็นเบาะหนังปรับไฟฟ้า ไม่ใช่เบาะไล่เบาหลังคาร์บอน เพราะ BMW มองว่า ลูกค้าที่ซื้อ M5 ยังคงอยากได้ความสะดวกสบายในการใช้งานอยู่
ระบบหน้าจออินโฟเทนเมนท์ยังคงเป็นจอขนาด 14.96 นิ้ว ทำงานร่วมกับจอแสดงผลข้อมูลตัวรถขนาด 12.3 นิ้ว และยังมีจอ HUD สำหรับผู้ขับ โดยทั้งหมดจะทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ OS 8.5 ซึ่งมีฟังก์ชันย่อยที่สามารถปรับลูกเล่นต่างๆได้ง่ายยิ่งขึ้น จนลูกค้าไม่จำเป็นต้องใช้ปุ่มกดปรับการทำงานของระบบปรับอากาศใต้ช่องแอร์อีกต่อไป
ขณะที่เครื่องเสียง ยังคงใช้บริการแบรนด์ Bowers & Wilkins และหากลูกค้าไม่อยากได้หลังคางานคาร์บอน ที่สามารถช่วยลดน้ำหนักไปได้มากถึง 30 กิโลกรัม ก็สามารถใช้หลังคากระจก Sky Lounge Panoramic Roof เพื่อเสริมความโรแมนติกภายในห้งโดยสารแทนได้
มาถึงเรื่องของหัวใจความแรง นั่นคือ ขุมกำลังของมัน ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์ V8 4.4 ลิตร เทอร์โบ เหมือนเดิม แต่ถูกปรับจูนใหม่ให้พละกำลังลดลงเล็กน้อย เหลือ 576.5 PS ที่ 5,600 – 6,500 รอบ/นาที เพื่อลดการปล่อยมลพิษแต่แรงบิดสูงสุดยังคงอยู่ที่ 750 นิวตันเมตร ดังเดิม
และแน่นอน เพื่อให้มันเป็นตัวรถรุ่นใหม่ ที่แรงกว่ารุ่นเก่า มันจึงมาพร้อมกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าที่ยกมาจาก XM และช่วยเสริมกำลังให้กับเครื่องยนต์ได้อีก 197 PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 281 นิวตันเมตร ทำให้พละกำลังสุทธิที่ได้เมื่อทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ทำงานร่วมกันมีตัวเลขที่ 727 PS และแรงบิดสูงสุดอีก 1,000 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีกว่าโฉมก่อนราวๆ 16%
ถึงกระนั้น ด้วยการเพิ่มระบบไฮบริด กับแบตเตอรี่ที่หากผู้ใช้ต้องการจะวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนจริงๆ ก็สามารถทำได้สูงสุดที่ราวๆ 40 กิโลเมตร จึงทำให้น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นเป็น 2,455 กิโลกรัม ซึ่งนั่นถือว่ามากกว่าโฉมก่อนถึงเกือบ 25%
ส่งผลให้ท้ายที่สุดมันกลับสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ช้าลงเล็กน้อย จากที่เคยทำได้ 3.2 วินาทีในโฉมก่อน กลายเป็น 3.4 วินาทีแทน ส่วนความเร็วสูงสุด ก็ถูกจำกัดเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือในกรณีที่ลูกค้าอยากได้ความเร็วสูงสุดเพิ่มเป็น 306 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็จำเป็นต้องซื้อแพ็คเกจเสริม “BMW M Driver” เพิ่มเติมอีก
อีกส่วนสำคัญที่ทำให้น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้น ก็คือการปรับปรุงระบบส่งกำลังชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ใหม่ เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ใหม่ให้รองรับกับแรงบิดที่มากขึ้น จนระบบสามารถเปิดให้คุณปรับแรงบิดทั้งหมดไปที่ล้อหลังเพื่อเข้าสู่ Drift Mode ได้สบายๆ
และหากคุณขับรถด้วยโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อ ระบบก็จะขับเคลื่อนด้วยการทำงานแบบ AWD โดยที่มันจะคอยจัดการ การกระจายแรงบิดได้อิสระทั้ง 4 ล้อ เพื่อรักษาเสถียรภาพรถให้ดีที่สุด (แต่โดยหลัก ระบบจะพยายามทำให้รถเกิดอาการหน้าดื้อมากกว่าท้ายขวาง)
นอกนั้นในเรื่องของระบบกลไกช่วงล่าง ก็ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด และยังเน้นไปที่การไล่เบาด้วยการเปลี่ยนวัสดุชุดปีกนกใหม่ทั้งหมดให้เป็นงานอลูมิเนียม เพื่อลดน้ำหนักใต้สปริง ทำให้ช่วงล่างทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นน้ำหนักตัวรถก็ยังมากกว่าโฉมก่อนที่ราวๆ 24% อยู่ดี
โดยกำหนดการเผยโฉมอย่างเป็นทางการของ 2025 BMW M5 จะเกิดขึ้นในงาน Goodwood Festival เดือนหน้า ส่วนการวางขายในไทย อาจจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้เป็นอย่างเร็ว หรือครึ่งแรกของปีหน้าเป็นอย่างช้า