Home » 2025 BMW M5 Touring ตัวตึง “พ่อบ้านซิ่ง”
รถใหม่ รถใหม่ต่างประเทศ

2025 BMW M5 Touring ตัวตึง “พ่อบ้านซิ่ง”

หลังการเก็บข้อมูลเสียงตอบรับ BMW M3 Touring อยู่นานนับสิบปี ในที่สุดก็ถึงเวลาสักทีที่ BMW M5 Touring ซึ่งเป็นต้นตำหรับ BMW M-Wagon จะได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง

2025 BMW M5 Touring ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งในรอบเกือบ 15 ปี นับตั้งแต่ที่ M5 Touring โฉมก่อนหน้ารหัส E61 ได้ยุติการทำตลาดไปเมื่อปี 2010 และมันยังถือเป็น M5 ตัวถังวากอน รุ่นที่ 3 เท่านั้น จาก M5 กว่า 7 โฉมที่วางจำหน่ายกันมาตั้งแต่ปี 1985

และเช่นเดียวกับพี่ๆ แน่นอนว่าเจ้า M5 ร่างวากอนโมเดลล่าสุดนี้ ก็จะยังคงใช้พื้นฐานโครงสร้างที่ต่อยอดมาจาก M5 ร่างซีดานเช่นเดิม ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่ามันมีหน้าตาที่แทบไม่หนีไปจากคู่แฝดเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับช่วงครึ่งหน้าตัวรถ ซึ่งใช้ทั้ง ไฟหน้า กระจังหน้า กันชนหน้าแบบเดียวกัน รวมถึงชุดแก้มข้าง กับฝากระโปรงเองก็ยังเป็นแบบเดียวกัน แม้กระทั่งฝาปิดพอร์ทชาร์จไฟสำหรับแบตเตอรี่ของระบบ PHEV ก็ยังคงอยู่ตำแหน่งเดียวกัน รวมถึงบานประตูคู่หน้าก็ด้วย

สิ่งที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน จึงอยู่ที่งานออกแบบตัวถังช่วงครึ่งหลังตั้งแต่เสา B เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นบานประตูคู่หลังที่มีกรอบกระจกกว้างและสูงขึ้น แนวหลังคาซึ่งจะไม่ลาดลงมาตามแนวกระจกของประตู่คู่หลัง แต่จะวาดผ่านไปถึงเกือบแนวกันชนท้าย แล้วตัดลงมาแนวตรงคล้ายกับรถทรงแฮชท์แบคท์

ต่างกันแค่พื้นที่ตัวถังด้านท้าย จะยื่นต่อจากแนวประตูคู่ท้ายออกมามากกว่าเพื่อให้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านในมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้น เน้นตอบโจทย์พ่อบ้านซิ่ง ที่ยังคงต้องวิ่งรถไปพร้อมกับครอบครัวสุขสันต์ในวันหยุด

และแม้ชุดไฟท้ายของมันจะแตกต่างจาก M5 ร่างซีดานเล็กน้อยด้วยการเพิ่มจงอยทางด้านนอกของกรอบไฟท้ายที่ต่อมาจากเส้นวาดทางด้านล่าง เพื่อให้รับกับแนวเสาและท้ายของตัวรถ แต่ชุดกันชนท้ายของมัน ก็ยังคงใช้งานออกแบบเดียวกับรุ่นตัวถังซีดาน หรือเผลอๆอาจเป็นชุดกันชนเดียวกันเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะมีหน้าตาเหมือนกันแทบทุกจุด ตั้งแต่แถบไฟทับทิมด้านข้าง เส้นสันต่างๆของชิ้นงาน และการออกแบบตำแหน่งปลายท่อทั้งสี่ ที่ถูกแบ่งออกเป็นฝั่งซ้าย-ขวา อย่างละคู่

และจากผลของการปรับเปลี่ยนงานออกแบบตัวถังช่วงครึ่งหลัง จึงทำให้คราวนี้ มันมีพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระทางด้านท้ายที่มากขึ้นจนแตะหลัก 501 ลิตร เมื่อพับเบาะแถวหลังแบบ 40:20:40 ราบลงไปทั้งหมด

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้โดยสารตอนหลังยังจะได้รับความสะดวกสบายที่มากขึ้น จากบานกระจกด้านข้างที่ใหญ่กว่าเดิม รวมถึงการเสริมทัศนวิศัยทางด้านหลังอีกนิด ด้วยบานกระจกหลังเสา C อีกคู่ รวมถึงด้วยแนวหลังคาที่ไม่รีบลาดลงมา จึงทำให้ผู้โดยสารตอนหลังมีพื้นที่เหนือศรีษะมากกว่า ซึ่งหากยังไม่พอ ตัวบานกระจกบนหลังคาแบบพาโนรามิคซันรูฟ ยังมีความยาวเกือบเต็มแนวหลังคา ช่วยให้ลูกๆหรือพ่อตาแม่ยาย สามารถมองท้องฟ้าเหนือรถได้อย่างเต็มตามากขึ้นด้วย

นอกนั้นงานออกแบบคอนโซลหน้าต่างๆ ยังคงใช้งานออกแบบเดียวกันกับรุ่นตัวถังซีดาน นั่นคือใช้คอนโซลหน้าแบบ BMW Series 5 เจเนอเรชันล่าสุดตัวธรรมดา แต่เสริมความ “M” ด้วยชิ้นงานคาร์บอนตามจุดต่างๆ ได้แก่ ที่คอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และแผงประตู ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบตัดตูด พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ขนาดใหญ่ และปุ่มปรับโหมดสีแดง เช่นเดียวกับแถบ Center Mark ก่อนปิดงานด้วยการเดินตะเข็บด้ายสี Tri-Color

เช่นเดียวกับ ระบบอำนวยความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ทั้งเบาะนั่งทรงสปอร์ต ปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้า, ระบบหน้าจออินโฟเทนเมนท์ยังคงเป็นจอขนาด 14.96 นิ้ว ทำงานร่วมกับจอแสดงผลข้อมูลตัวรถขนาด 12.3 นิ้ว และยังมีจอ HUD สำหรับผู้ขับ โดยทั้งหมดจะทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ OS 8.5 เช่นเดิม ทำงานร่วมกับเครื่องเสียงแบรนด์ Bowers & Wilkins ดังเดิม

เช่นเดียวกัน ขุมกำลังของมัน ยังคงเป็นเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบ ขนาด 4.4 ลิตร ทำงานร่วมกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PHEV ที่ให้กำลังสูงสุด 727 PS และแรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร เพื่อลงไปขับเคลื่อนชุดล้อทั้ง 4 ด้วยระบบสมองกล BMW xDrive ดังเดิม

แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีก 63 กิโลกรัม จนแตะหลั 2,508 กิโลกรัม จึงทำให้ความสามารในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงของมัน ช้ากว่ารุ่นซีดานเล็กน้อย จาก 3.4 วินาที เป็น 3.5 วินาที ขณะที่อัตราเร่งจาก 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็สามารถทำได้ในเวลา 11.1 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือหากลูกค้าอยากให้รถสามารถวิ่งได้เร็วแตะหลัก 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็สามารถเลือกซื้อออพชัน “M Driver” เพิ่มเติมได้อีกในภายหลัง

นอกนั้นในส่วนรายละเอียดทางเทคนิคอื่นๆของตัวรถ ทางค่ายไม่ได้มีการเปิดเผยมากมายนัก นอกไปเสียจากการระบุว่า ด้วยตัวถังที่ยาวกว่า จึงทำให้ตอนนี้อัตราส่วนน้ำหนักหน้า-หลัง ของตัวรถ BMW M5 Touring ได้มีตัวเลขเฉลี่ยแบบ 50:50 ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ดูดีกว่าร่างซีดาน

ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าแม้ตัวรถจะหนักกว่า แต่มันก็อาจให้ความสมดุลในการควบคุมที่ดีกว่า และทางค่ายจะต้องมีการปรับเซ็ทช่วงล่างใหม่ด้วยแน่นอน

ส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเอง ก็ยังไม่มีการเผยตัวเลขออกมา และเราต้องรอกันจนกว่าจะถึงกำหนดการเปิดตัวในไทย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงไม่เกินปลายปีนี้เป็นอย่างเร็ว

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.