BMW X3 ถือเป็นรถยนต์อเนกประสงค์อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมในหมู่ลูกค้าชาวบีมเมอร์พอสมควรจากขนาดตัวรถที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็มากพอที่จะตอบโจทย์ครอบครัวขนาดเล็กได้สบายๆมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2003 และตอนนี้ก็ถึงเวลาของเจเนอเรชันที่ 4 ของมันกันแล้ว กับตัวรถรุ่นปี 2025
2025 BMW X3 ถือเป็นตัวรถเจเนอเรชันที่ 4 ของตระกูล หลังจากที่ตัวรถเจเนอเรชันก่อนหน้าได้ถูกทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2018 และสิ่งที่น่าแปลกใจคือ มันก็ยังคงถูกสร้างขึ้นโดยแพลตฟอร์มพื้นฐานเดียวกันกับรุ่นพี่ดังเดิม
แต่ถ้าว่ากันตามจริง ก็มีเพียงแพลตฟอร์มโครงสร้างตัวถังเท่านั้นที่เป็นของเดิม ทว่าตัวรถก็ได้รับการปรับปรุงใหม่หลายๆจุด เพื่อให้มันกลายเป็นรถที่ขับสนุกยิ่งขึ้น และมั่นใจ เฉียบคมในการเข้าโค้งมากยิ่งขึ้น
โดยแม้มันจะยังคงมีระยะฐานล้อด้านยาว 2,865 มิลลิเมตร เท่าเดิม ทว่ามันก็มากับความกว้างของฐานล้อคู่หน้าที่น้อยลงจาก 1,620 มิลลิเมตร เหลือ 1,614 มิลลิเมตร และความกว้างฐานล้อคู่หลังที่มากขึ้น จาก 1,636 มิลลิเมตร เป็น 1,659 มิลลิเมตร หรือว่าง่ายๆคือมันมาพร้อมกับความกว้างฐานล้อหน้าที่แคบลง แต่ด้านหลังกว้างขึ้น ซึ่งจะทำให้รถมีความฉับไวในการเข้าโค้งมากขึ้น
นอกจากนี้ ขนาดตัวรถเอง ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ด้วยความยาวตัวรถ 4,755 มิลลิเมตร, ความกว้าง 1,920 มิลลิเมตร, และความสูง 1,660 มิลลิเมตร ซึ่งหากเทียบกับของรุ่นก่อนหน้า ก็จะเท่ากับว่ามันมีมิติตัวถังที่ยาวกว่าเดิม กว้างกว่าเดิม แต่เตี้ยลงกว่าเดิม ซึ่งก็จะช่วยเสริมทั้งในเรื่องของการลดตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงให้เตี้ยลง ซึ่งส่งผลถึงความกระชับในการควบคุม และยังทำให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางขึ้นด้วย
ส่วนงานออกแบบภายนอกเอง แม้มันจะยังคงมีเส้นกรอบกระจกข้าง กับรูปทรงหลังคาดังเดิม แต่นอกนั้นก็ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร เพราะคราวนี้ มันก็มาพร้อมกับงานออกแบบยุคใหม่ของทาง BMW ที่เน้นเส้นสายเหลี่ยมสัน ตัดเส้นคม เป็นหลัก
ตั้งแต่ไฟหน้าแบบใหม่ ที่มีการตัดกรอบคม แต่ใหญ่โตมากขึ้น, กระจังหน้าแบบใหม่ใหญ่กว่าเดิม และแน่นอนว่ากรอบกระจังหน้าเองก็มีความเหลี่ยมสันมากกว่าเดิม โดยที่ซี่ตะแกรงด้านในก็มีการเปลี่ยนลวดลายใหม่ให้ดูซับซ้อนยิ่งขึ้น, กันชนหน้ามีช่องดักอากาศน้อยลง เน้นความสะอาดตา และช่วยลดแรงต้านอากาศไปในตัว, ฝากระโปรงหน้าทำร่องต่อจากช่องว่างระหว่างกระจังหน้า ซึ่งเป็นดีไซน์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ XM
คิ้วซุ้มล้อหายไป แต่เน้นการทำซุ้มล้อให้ดูบึกขึ้น ด้วยการเพิ่มเส้นกรอบล้อมทางด้านบนแทน, ชายล่างตัวถังด้านข้างทำสีดำ เพื่อตัดโทนกับสีตัวถัง ตามฉบับของรถยนต์ BMW ยุคใหม่, มือเปิดประตูแบบราบไปกับแนวตัวถังเพื่อลดแรงต้านอากาศ, กระจกมองข้างดูแหลมคมกว่าเดิม
ท้ายรถเน้นงานออกแบบที่ใช้เส้นตรงมากขึ้น ทั้งสปอยเลอร์, เสา D, ไฟท้ายลายกราฟฟิกแบบหางลูกธนู, ฝาท้ายรถ, และกันชนท้าย ทั้งหมดดูเหลี่ยมสันขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน แถมยังดูดุดันมากขึ้นด้วยชายล่างกันชนท้ายแบบมีดิฟฟิวเซอร์ พร้อมปลายท่อไอเสียออก 4 รู ในรุ่นบนๆ
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมการออกแบบใหม่ทั้งหมด แต่ยังคงความเป็น BMW ไว้อยู่ ด้วยการจัดองศาระนาบของช่องแอร์และจออินโฟเทนเมนท์รวมถึงแผงคอนโซลกลางให้หันเข้าหาผู้ขับดังเดิม
นอกนั้นตัวรถก็มาพร้อมกับพวงมาลัย 2 ก้านล้อมกรอบด้วยวงพวงมาลัย D-Shape, คอนโซลหน้าดูเรียบง่ายมากขึ้น แต่ไปเพิ่มความสะดุดตาที่แผงข้างประตูแทน ด้วยการเพิ่มกรอบไฟ Ambient Light และยังย้ายปากช่องแอร์ไปไว้ที่แผงประตู, ชุดจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ใหม่ เชื่อมต่อกับจอแสดงผลข้อมูลตัวรถแบบ Curve Screen และยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่ OS9 (ปกติหากเป็นรุ่นปรับ Minor Change จะยังคงใช้ OS 8.5)
และหากลองสังเกตให้ดีจะพบว่าแผงควบคุมระบบขับเคลื่อนตัวรถตรงกลาง ไม่ได้มีการติดตั้งชุดคันเกียร์แบบดั้งเดิมอีกต่อไป และแทนที่ด้วยแป้นสวิทช์ สำหรับผลักเพื่อปรับตำแหน่งเกียร์แทนแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ขุมกำลังตัวรถ X3 เจเนอเรชันใหม่ ประเดิมความน่าสนใจด้วยรุ่น M50 xDrive ที่เข้ามาแทน M40i Xdrive โดยในคราวนี้ มันมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ พ่วงการทำงานร่วมกับมอเตอร์ Mild Hybrid 48 Volt ให้กำลังรวมกันสูงสุด 399 PS และแรงบิดสูงสุด 580 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลังเป็นแบบชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และแน่นอนว่ามันขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อด้วยระบบ xDrive พร้อมความสามารถในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.6 วินาที กับความสามารถในการทำความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการปรับจูนตัวรถให้ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro 6e แล้วเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนอีกรุ่นขุมกำลังที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ X3 30e xDrive ซึ่งเป็นรุ่น Plug-In Hybrid ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง เทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมกันสูงสุด 299 PS และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และขับเคลื่อนล้อทั้ง 4 ด้วยระบบ xDrive
ด้านความสามารถในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 6.2 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 215 กิโลเมตร หรือหากเป็นการวิ่งด้วยโหมดพลังงานไฟฟ้าล้วน จะวิ่งได้เร็วสุด 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนระยะทางในการวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนจะอยู่ที่ 81-90 กิโลเมตร ต่อหนึ่งการชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP
นอกจากนี้ ในกลุ่มขุมกำลังเริ่มต้น อย่างรุ่น X3 20 xDrive ก็จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง เทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Mild Hybrid 48 Volt ให้กำลังรวมกันสูงสุด 208 PS และแรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และขับเคลื่อนล้อทั้ง 4 ด้วยระบบ xDrive
ด้านความสามารถในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 7.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 215 กิโลเมตร
และหากเป็นรุ่น X3 20d xDrive ก็จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเรียง เทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Mild Hybrid 48 Volt ให้กำลังรวมกันสูงสุด 197 PS และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และขับเคลื่อนล้อทั้ง 4 ด้วยระบบ xDrive
ด้านความสามารถในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 7.7 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 215 กิโลเมตร
โดยสำหรับลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา และในทวีปยุโรป พวกเขาจะสามารถจับจองตัวรถได้ภายในช่วงไม่เกินสิ้นปีนี้ ก่อนที่รถจะพร้อมส่งมบอในช่วงต้นปีหน้า ส่วนประเทศไทย อาจจะต้องรอกันอีกพักใหญ่ ซึ่งอย่างเร็วสุดก็คือช่วงกลางปี 2025 นั่นเอง