ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Lexus LX อาจเป็นรถยนต์เพียงไลน์อัพเดียวของแบรนด?ที่ไม่ได้ใช้ขุมกำลังไฮบริด แต่หลังจากนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลาของการเปิดตัว 2025 Lexus LX 700h
2025 Lexus LX 700h มาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนใหม่ในหลายจุดเพือให้มันพร้อมสรรพสำหรับการเป็นรถอเนกประสงค์เรือธงของแบรนด์อย่างแท้จริง และจุดขายที่สำคัญที่สุดของมันในครั้งนี้ ก็คือขุมกำลังไฮบริด ที่ถูกใส่เข้ามาเป็นครั้งแรกของตระกูล และใส่เข้ามาในไลน์อัพสุดท้ายของ Lexus ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะก่อนนี้หน้า รถยนต์รุ่นอื่นๆของแบรนด์ต่างมีรุ่นย่อยขุมกำลังไฮบริดกันเกือบหมดแล้ว เว้นแค่ LX
และขุมกำลังไฮบริดที่ว่า ทาง Lexus ก็ระบุว่ามันคือเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ ขนาด 3.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบฟูลไฮบริด และส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ซึ่งน่าเสียดายที่ทางค่ายยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลพละกำลังออกมา เนื่องจากการเปิดตัวครั้งนี้ ยังเป็นเพียงการเผยให้ลูกค้าได้เห็นหน้าตา และเป็นการยืนยันรูปแบบขุมกำลังที่จะอยู่ในรุ่นเรือธงที่กำลังจะขายในเร็วๆนี้เท่านั้น
แต่เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว ลักษณะขุมกำลังดังกล่าว ค่อนข้างจะคล้ายกับ Toyota Thundra ที่ขายไปได้พักใหญ่ จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่าขุมกำลังที่อยู่ใน LX 700h เอง ก็น่าจะสามารถทำแรงม้าได้ราวๆ 443 PS และมีแรงบิดสูงสุดอีกราวๆ 790 นิวตันเมตร เช่นกัน
ด้วยขุมกำลังที่เปลี่ยนไป จึงทำให้น้ำหนักตัวรถมีตัวเลข 2,780 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 120 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นรองกว่าอย่าง LX 600
โดยไม่ได้เป็นผลมาจากแค่การเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ที่ติดตั้งไว้ใต้ตัวถังล่างแนวเบาะผู้โดยสารแถวหลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสริมหม้อแปลงและไดสตาร์ทเครื่องยนต์อีกชุดที่จะช่วยให้เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของตัวรถยังสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ กรณีที่ระบบไฮบริดของรถเกิดได้รับความเสียหายจากการบุกตะลุย
แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่ารถจะเปราะบางสำหรับการบุกตะลุย เพราะถึงจะเป็นรถอเนกประสงค์ติดภาพลักษณ์หรู แต่มันยังคงมาพร้อมกับชุดเกียร์ความเร็วต่ำ หรือเกียร์โลวฯ สำหรับการไต่อุปสรรคด้วยความเร็วต่ำแต่ต้องใช้แรงบิดจากเครื่องยนต์ในรอบสูงๆ, ระบบปรับความสูงตามโหมดการขับขี่, ระบบแทร็คชันคอนโทรลที่สามารถแปรผันค่าได้ตามสภาพการณ์, แบตเตอรี่ถูกซีลกันน้ำอย่างดี ทำให้รถสามารถลุยน้ำสูง 700 มิลลิเมตรได้ และยังสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 1,500 วัตต์ หรือ 2,400 วัตต์ แล้วแจ่ประเทศที่ถูกส่งไปทำตลาด และมีลูกเล่นอื่นๆอีกมากมายที่บ่งบอกว่าผู้ใช้สามารถสบายใจได้หากต้องการนำมันไปลุยจริงๆขึ้นมา
นอกจากนี้ ตัวโครงสร้างรถที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม GA-F (TNGA-F) ยังถูกปรับปรุงใหม่ โดยเน้นที่การลดความสั่นสะเทือนของตัวถังจากแรงกระแทกหรือแรงกระเทือนของผิวถนนและเครื่องยนต์ให้น้อยลง, ปรับปรุงระบบช่วงล่างไฟฟ้า, ปรับปรุงระบบเกียร์ฝากใหม่, เสริมความแข็งแรงของหม้อน้ำ, ปรับปรุงจุดยึดแท่นเครื่องใหม่ ให้แข็งแรงขึ้น เพื่อเพิ่มทั้งความทนทานและความมั่นใจในการใช้งานภาพรวม
และแม้หน้าตาภายนอกของตัวรถจะแทบไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก นอกจากโลโก้ “700h” ประจำรุ่น ที่ฝาท้าย แต่ในปี 2025 ทาง Lexus ระบุว่ามันจะมีรุ่นพิเศษ “Overtrail Edition” ออกมาให้ลูกค้าได้เลือกเพิ่ม โดยมันจะมาพร้อมกับการตกแต่งที่บ่งบอกว่าตัวรถพร้อมลุยยิ่งขึ้น ทั้งชุดกันชนรอบคัน, แร็คหลังคาบรรทุกของ, โดยเฉพาะชุดล้อที่คาดว่าจะใส่ยาง All-Terrain, รวมถึงการทำสีตัวถังแบบ Moon Desert ซึ่งเป็นสีเฉพาะรุ่นพิเศษนี้เท่านั้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในรุ่นน้อง GX และ NX มาก่อนแล้ว
ภายในห้องโดยสารตัวรถเอง ก็มีการปรับเปลี่ยนไปโดยไม่ต้องรอรุ่นพิเศษ เพราะมันจะมาพร้อมกับวัสดุตกแต่งใหม่ที่ดูหรูหรามากขึ้น และยังมีการอัพเกรดชุดหน้าจอมาตรวัดใหม่ให้ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 12.3 นิ้ว รวมถึงจอระบบอินโฟเทนเมนท์เอง ก็มีขนาด 12.3 นิ้วเช่นกัน ซึ่งจะว่าไปก็เป็นออพชันที่แอบคล้ายกับ Camry รุ่นล่าสุดที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันก่อนอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ยังมีการอัพเกรดระบบไวร์เลสชาร์จให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น, เบาะนั่งมีการเปลี่ยนวัสดุหนังหุ้ม ให้ผู้นั่งรู้สึกนุ่มสบายกว่าเดิม แถมยังมีระบบนวดในตัว โดยสามารถเจาะจงเลือกตำแหน่งการนวดได้ทั่วแผ่นหลังอีกต่างหาก
ทั้งนี้รายละเอียดความเปลี่ยนแปลงข้างต้น ยังเป็นเพียงรายละเอียดโดยคร่าวเท่านั้น เพราะกำหนดการวางขายจริงของตัวรถคือช่วงปลายปี 2024 ซึ่งเราต้องรออัพเดทข้อมูลกันอีกทีเมื่อถึงเวลาดังกล่าว