Home » 2025 MG ZS Hybrid+ ปรับโฉมใหม่ ใส่ขุมกำลังไฮบริด เคลมน้ำมัน 1 ลิตร วิ่งไกล 23.55 กิโลเมตร
รถใหม่ รถใหม่ต่างประเทศ

2025 MG ZS Hybrid+ ปรับโฉมใหม่ ใส่ขุมกำลังไฮบริด เคลมน้ำมัน 1 ลิตร วิ่งไกล 23.55 กิโลเมตร

ยังคงอยู่ในช่วงขอบการทยอยปรับโฉมรถยนต์ในแบรนด์กันอย่างต่อเนื่อง สำหรับแบรนด์ MG ที่ล่าสุดได้มีการเผยโฉม MG ZS โมเดลใหม่รุ่นปี 2025 ออกมาเพิ่ม และในคราวนี้มันยังมาพร้อมกับขุมกำลังใหม่ Hybrid+ อีกด้วย

2025 MG ZS Hybrid+ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ ณ ประเทศบ้านเกิดโดยกำเนิดแบรนด์ นั่นคือ ประเทศอังกฤษ และการเผยโฉมในครั้งนี้ของมัน ก็เรียกได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบหลายปี โดยแม้มันจะยังใช้โครงสร้างเดิมกับโฉมก่อนหน้า แต่ก็ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวรถในแทบทุกจุด

เริ่มจากงานออกแบบทางด้านหน้าตัวรถ ที่ได้ถูกปรับใหม่ให้ดูมีความดุดัน โฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น ทั้งด้วยโคมไฟหน้า LED Projector ที่มีกรอบแหลมเรียวกว่าเดิมรุปทรงราวกับหยดน้ำ แต่ถูกต่อแนวด้วยแถบโครงเมี่ยม และจัดเหลี่ยมกันชนใหม่ให้ดูแหลมคมพุ่งไปทางด้านหน้า คล้ายกับคู่แฝด MG VS

ส่วนกระจังหน้าช่องหลักถูกปรับใหม่ให้ใหญ่ขึ้นเกือบเต็มพื้นที่กันชนหน้าตาม Design Langauge ของรถยนต์จาก MG ยุคปัจจุบัน แต่ยังคงมีพื้นที่สำหรับช่องดักลมทางด้านล่าง และแผ่นกันกระแทกสีเงินคล้ายกับรุ่นเดิมใส่มาให้

ไม่เว้นแม้แต่เส้นช่องดักลมด้านข้าง ที่มีการวาดกรอบคล้ายกับของ ZS EV รุ่นที่ยังคงขายอยู่ในไทย ณ ตอนนี้ เพียงแต่เพื่อไม่ให้ตัวรถดูติ๋มเกินไปเหมือนในอดีต(แต่ยังเป็นปัจจุบันในไทย) ตัวช่องดักลมจึงไม่ได้เป็นเพียงชิ้นพลาสติกเรียบๆ แต่เป็นการเจาะแล้วใส่แผแ่นซับในสีดำพร้อมครีบรีดอากาศเข้ามา เพื่อการไล่เรียงอากาศไปยังแนวซุ้มล้อที่ดีกว่าเดิม และทำให้ตัวรถดูดุดันกว่าเดิมด้วย

และแม้ว่าแก้มข้างตัวรถจะดูเหมือนว่ามันมาพร้อมกับขอบคิ้วซุ้มล้อชิ้นงานพลาสติกด้านที่ดูหนาขึ้น แต่ฝากระโปรงของมันกลับยังดูคล้ายเดิมกับรุ่นก่อนหน้า ไม่เว้นแต่การวาดองศาของเสา A ตามด้วยกรอบกระจกบ้านข้างของประตูคู่หน้า แม้แต่ชิ้นฝาครอบกระจกมองข้างเองก็ยังดูเหมือนของรุ่นก่อน

โดยในเสี้ยวมองแรก เราเองก็เกือบระบุว่าบานประตูหน้าของมัน ยังคงเป็นบานประตูเดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่จะสังเกตได้ว่าวิธีการปั๊มขึ้นรูปของส่วนเว้าโค้งช่วงครึ่งล่างนั้นแอบต่างออกไปนิดหน่อย ซึ่งนั่นก็จะรับกับบานประตูคู่หลัง ที่มีการปรับดีไซน์กรอบกระจกใหม่ ให้เชิดไปหาเสา C น้อยลง และส่งผลให้กรอบกระจกระหว่างเสา C กับ D มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยในเรื่องของการลดมุมอับของผู้ขับเมื่อต้องมองจากกระจกมองหลังมา

ด้านท้ายรถเอง จะสังเกตได้ว่ากรอบกระจกบ้านท้าย ยังคงเป็นงานออกแบบเดียวกับโฉมก่อนหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งชิ้นงานสปอยเลอร์ และชิ้นกรอบด้านข้าง แต่ด้วยงานออกแบบไฟท้ายที่เปลี่ยนไป จึงทำให้ทางค่ายต้องมีการปรับเส้นสันฝาท้ายช่วงใต้กระจกบานหลังใหม่เล็กน้อยให้ดูเป็นเหลี่ยมสันมากกว่าเดิม แต่ก็จะรับกับเส้นสันแก้มซุ้มล้อหลังที่ดูโดดเด่นขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน

นอกนั้นในส่วนของครึ่งล่างฝาท้าย ก็มีการปรับลายเส้นปลายล่างให้เล็กน้อย เพื่อให้รับกับดีไซน์กันชนท้ายที่ดูโฉบเฉี่ยมากขึ้น และยังดูทันสมัยยิ่งขึ้นจากการลดขนาดแผ่นทัมทิมสะท้อนแสงลง แล้วไปเพิ่มความโดดเด่นด้วยแถบโครงเมียมที่ทำทรงเหมือนกรอบท่อไอเสียขนาดใหญ่แทน

ภายในห้องโดยสารตัวรถ ปรับเปลี่ยนงานออกแบบการตกแต่งใหม่เกือบทั้งหมด เว้นเพียงไม่กี่จุดที่ยังพอสังเกตได้ว่าเป็นของเดิม ได้แก่มือเปิดประตูกับปุ่มปลดล็อคประตูกับ ทรงเบาะคู่หน้า

นอกนั้นในส่วนคอนโซลหน้าถูกปรับใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น และมีเหลี่ยมสันที่ชัดเจนขึ้น แม้แต่กรอบช่องแอร์เอง ยังออกแบบให้เป็นกรอบทรงสี่เหลี่ยมคางหมู โดยจออินโฟเทนเมนท์ตรงกลางก็มีขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว ซึ่งแน่นอนว่ายกมาจาก MG4 เช่นเดียวกับแผงปุ่มควบคุมลูกเล่นอื่นๆที่จำเป็นทางด้านล่าง เรียกได้ว่ายกมาแทบทุกฟังก์ชันที่ควรมีในยุคปัจจุบัน ทั้งระบบเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto, ระบบนำทางด้วยสัญญาณ GPS แบบ Built-in, และ ฟังก์ชันคุมระบบปรับอากาศในหน้าจอ เป็นต้น

แต่ชุดจอแสดงผลข้อมูลตัวรถหน้าคนขับขนาด 7 นิ้ว จะยังคงอยู่ในเบ้ากันแสงจากภายนอก ตามฉบับรถยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม ขณะที่ชุดพวงมาลัยก็คาดว่าจกยกชุดมาจาก MG4 แต่ที่ต่างออกไปคือคราวนี้ทางแบรนด์มีการเพิ่มก้านคู่ล่างมาให้ด้วย เพื่อไม่ให้มันดูมีความเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากเกินไป

ถึงกระนั้น ชุดคอนโซลกลาง ที่เป็นแบบยกสูง จะยังคงดูทันสมัยด้วยแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ที่ขนาบข้างอยู่กับปุ่มปรับตำแหน่งเกียร์ที่เป็นสวิทต์กด ไม่ใช่ลูกบิด เช่นเดียวกับปุ่มเบรกมือ และปุ่มควบคุมระบบ Auto Hold

ส่วนระบบความปลอดภัยอื่นๆก็ให้มาครบครันตามแพ็คเกจ MG Pilot ซึ่งประกอบไปด้วยระบบ Adaptive Cruise Control, Lane Keep Assist, Lane Departure Warning, Active Emergency Braking พร้อมระบบ Pedestrian and Bicyclist Detection, Blind Spot Detection, Forward Collision Warning, Rear Cross Traffic Alert, และ Traffic Jam Assist.

ด้านขุมกำลังตัวรถ จะใช้เซ็ทอัพที่เกือบคล้ายกับ MG VS โดยมีเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตรเป็นหัวใจหลัก แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือด้วยการปรับขนาดมอเตอร์ให้ใหญ่ขึ้น ด้วยแรงบิดสูงสุดอีก 250 นิวตันเมตร และกำลังสูงสุด 136 PS

จึงทำให้แม้เมื่อ เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ ก็จะสามารถเค้นแรงม้าสูงสุดได้ 196 PS ซึ่งมากกว่า MG VS อยู่ 19 PS แต่ด้วยมอเตอร์ที่แรงขึ้น กับแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 1.3 kWh จึงทำให้มันสามารถลดภาระการทำงานเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม จนทาง MG เคลมว่าอัตราสิ้นเปลืองของมันตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP มีตัวเลขที่ดีถึง 23.55 กิโลเมตร/ลิตร

ส่วนขีดความสามารถของตัวรถในการเรียกอัตราเร่งจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเอง ก็สามารถทำได้ในระยะเวลาเพียง 8.7 วินาที ซึ่งถือว่าเกินพอแล้ว สำหรับรถยนต์เอาไว้ใช้งานชิลๆในชีวิตประจำวันคันหนึ่ง

โดย 2025 MG ZS Hybrid+ เปิดราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศอังกฤษที่ 21,995 ปอนด์ หรือราวๆ 987,400 บาท ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายในไทย คาดว่าจะต้องใช้เวลาทิ้งช่วงอีกพักใหญ่ ซึ่งอย่างเร็วที่สุดก็อาจจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2025 กันเลยทีเดียว

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.