Nissan Serena อาจเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูชาวไทยเท่าไหร่นัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือรถตู้ขนาดเล็กที่ทำยอดขายได้ดีในประเทศญี่ปุ่น และในปี 2023 ที่จะถึงนี้ มันก็มีเจอเนอเรชันที่ 6 ออกมาให้ลูกค้าแดนปลาดิบได้ฮือฮากันแล้ว
Nissan Serena 2023 ถือเป็นการปรับโฉมใหม่ในระดับ All-New เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ปีก่อนหน้า เพราะอย่างที่เราได้ระบุไว้ในข้างต้นว่ามันคือรถ Serena เจเนอเรชันที่ 6 ไม่ใช่เจเนอเรชันที่ 5 อีกต่อไป และจุดเปลี่ยนที่คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดก็แน่นอนว่าจะต้องเริ่มจากงานตกแต่งตัวรถภายนอกที่แม้สัดส่วนตัวรถจะยังคงดูมีความเป็นเหมือนก้อนอิฐบล็อคติดล้อเช่นเดิม
แต่เส้นสายหลักของมันกลับได้ถูกปรับใหม่ให้ดูโฉบเฉี่ยวทันยุคทันสมัยยิ่งขึ้น ไล่ตั้งแต่ชุดกระจังหน้าทรง V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์แบบใหม่ ซึ่งจะถูกขีดเส้นไว้เป็นแนวเดียวกับกรอบโคมไฟคู่หน้าด้านบน ตัวกันชนหน้าก็ถูกปรับใหม่ ให้มีงานดีไซน์ที่ดูสะดุดตายิ่งขึ้น ขณะที่เส้นสายด้านข้างตัวรถ ลากยาวไปจนถึงไฟท้ายก็ล้วนดูเป็นเส้นตรงแนวเดียวกันมากกว่าเดิม
ทั้งนี้ หากวัดที่ข้อมูลมิติตัวรถ เจ้า Serena ก็มาพร้อมกับขนาดตัวรถที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นพี่ในแทบทุกสัดส่วนจริงๆ ทั้งในเรื่องมิติด้านยาว ที่ขยับขึ้นมาอยู่ระหว่าง 4,690-4,765 มิลลิเมตร ตามด้วยมิติด้านกว้าง ระหว่าง 1,695-1,715 มิลลิเมตร และความสูงระหว่าง 1,870-1,885 มิลลิเมตร ขณะที่ความยาวฐานล้อก็อยู่ที่ 2,870 มิลลิเมตร
จากการปรับขนาดตัวรถให้ใหญ่ขึ้น สิ่งที่เห็นผลในเชิงการใช้งานมากที่สุด ก็คือพื้นที่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับในฝั่งเบาะคู่หน้า ที่ผู้ใช้จะพบว่ามันมีพื้นที่วางขาที่มากกว่าเดิมอีกถึง 120 มิลลิเมตร ส่วนเบาะตอนหลังทั้งสองแถว ก็ได้ถูกปรับใหม่ และลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เบาะแบบ 5 หรือ 6 ที่นั่ง เพื่อรวมกับเบาะคู่หน้าแล้วมันจะเป็นรถ 7 หรือ 8 ที่นั่งก็ได้
นอกจากนี้ตัวรถยังมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital TFT ขนาดใหญ่ ที่ทำงานร่วมกับจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ ที่แม้ทาง Nissan จะไม่ได้ระบบตัวเลขขนาดที่แน่ชัดเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยืนยันว่ามันมีขนาดใหญ่ที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกันแล้ว ส่วนผู้โดยสารตอนหลังเองก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะทางค่ายให้มาทั้ง ที่เก็บโทรศัพท์พร้อมพอร์ทชาร์จไฟแบบ USB, ที่วางแก้วน้ำ, และระบบ Wifi ในตัวมาให้อย่างครบครัน
ลูกเล่นต่างๆของตัวรถยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะมันยังมาพร้อมกับประตูข้างแบบบานสไลด์ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาที่สามารถเปิด-ปิดได้เอง ด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออกตัวรถของผู้โดยสารตอนหลัง ไม่เว้นแม้แต่ฝาท้ายเอง ก็เป็นบานพับไฟฟ้า และที่เหนือยิ่งกว่าคือ มันมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ProPILOT ที่ได้รับการอัพเกรดเป็นรุ่น 2.0 ให้สามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของระบบรักษาช่องทางการวิ่งด้วยตนเอง และระบบช่วยจอดอัตโนมัติ เป็นต้น
ในส่วนขุมกำลังตัวรถ มันก็มีรูปแบบให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ 2 แบบหลักๆด้วยกัน เริ่มจากตัวเด่น อย่างขุมกำลังไฮบริด ePower ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบเรียง 1.4 ลิตร เป็นเครื่องปั่นไฟชาร์จเข้าแบตเตอรี่ และปั่นให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเดี่ยว ที่มีกำลังขับสูงสุด 163 แรงม้า PS กับแรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร
ส่วนเครื่องยนต์แบที่ 2 จะเป็นบล็อคเบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า PS และแรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ซึ่งขุมกำลังทั้งสองแบบ จะส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ CVT เหมือนกัน แต่ในส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีให้เฉพาะรถที่ใช้เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนระบบขับเคลื่อนล้อหน้า จะมีให้เลือกใช้ในทั้งสองขุมกำลัง
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Nissan Serena 2023 ในประเทศญี่ปุ่น ก็จะถูกประกาศตัวเลขเริ่มต้นที่ 2,768,700 เยน หรือราวๆ 713,000 บาท และแพงสุดที่ 4,798,200 เยน หรือราวๆ 1,235,000 บาท