Avatr 11 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความสนใจจากชาวไทยอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ตอนที่มันได้ถูกนำมาจัดแสดงในงานแนะนำแบรนด์ Changan เมื่อปลายปีก่อน และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันใกล้พร้อมเข้าไปทุกทีแล้วสำหรับการขายจริง
สำหรับภาพที่ถูกจับถ่ายเอาไว้ได้โดยทีมงานของทาง Ridebuster และทุกท่านกำลังเห็นกันอยู่ในขณะนี้ คือภาพของตัวรถ Avatr 11 ที่กำลังถูกนำมาวิ่งทดสอบบนทางด่วนของประเทศไทยเรานี่เอง ซึ่งจุดน่าสนใจของมันก็คือการที่ตัวรถคันนี้ แทบไม่มีการติดสติ๊กเกอร์พรางใดๆ แถมยังมีการติดป้ายทะเบียน “QC” ซึ่งแตกต่างจาก “TC” ที่คนส่วนใหญ่มักเคยเห็นกัน
โดยสำหรับความหมายของป้ายทะเบียน “QC” แท้จริงแล้ว คือป้ายของรถยนต์ที่อยู่ในช่วงของการตรวจสอบคุณภาพตัวรถในภาพรวมครั้งท้ายๆ ก่อนผลิตขายจริงๆให้กับบุคคลทั่วไป ซึ่งจะแตกต่างจากรถทดสอบที่ติดป้าย “TC” ซึ่งจะเป็นรถที่ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา เก็บค่า เพื่อนำข้อมูลกลับไปปรับปรุงตัวรถอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะเป็นที่พอใจของวิศวกร หรือไม่ก็นักการตลาดของตัวแบรนด์
นั่นจึงหมายความว่า สำหรับตัวรถ Avatr11 ที่กำลังถูกวิ่งทดสอบบนถนนในประเทศไทยตอนนี้ ได้อยู่ในสถานะที่ “ใกล้พร้อมสำหรับการวางขายจริง” แล้วนั่นเอง
โดย Avatr 11 ถือเป็นรถยนต์ทรงเอสยูวีกึ่งสปอร์ตด้วยหน้าตาคล้ายกับ AVATR 12 โดดเด่นด้วยงานออกแบบแถบไฟ DRL รูปตัว C ที่กันชนหน้า และมีแถบไฟ DRL อีกชั้นซึ่งทำหน้าที่เป็นไฟเลี้ยวคู่บน ส่วนไฟหน้าแบบ Projector LED จะอยู่ทางด้านล่างของแถบไฟ DRL อีกที
นอกจากนี้ กันชนหน้ายังเน้นการผสมผสานระหว่างความสปอร์ตและความมินิมอลอย่างลงด้วย ด้วยกันชนหน้าแบบกึ่งเปิดทึบ และมีการเปิดช่องรับลมทางด้านล่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ด้วยรูปทรงช่องรับลมแบบคางหมูจึงทำให้มันช่วยเสริมภาพลักษณ์ความโฉบเฉี่ยวขึ้นมาอีกหน่อย
ส่วนด้านข้าง มาพร้อมกับขอบซุ้มล้อคล้าย Deepal S07 แต่ทำชิ้นงานเป็นสีเดียวกับตัวถัง และยังให้ชุดล้อที่มีขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้ว ขณะที่กระจกมองข้างเป็นแบบยึดกับบานประตู เพื่อให้พื้นที่กรอบกระจกมีช่วงที่เป็นกระจกหูช้าง ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย
ต่อด้วยเส้นข้างประตูจะเน้นความกลม มน โดยเฉพาะในส่วนของสันประตู ที่จะยิ่งดูเรียบเนียนขึ้นอีก ด้วยมือเปิดประตูแบบเก็บซ่อนเรียบไปกับตัวถัง แต่ชายล่างบานประตู จะมีการเว้นพื้นที่ไว้เพื่อติดตั้งแผ่นพลาสติกกันกระแทก
และด้านท้ายรถก็มีการปรับทรงให้ตัวรถมีความท้ายลาด คล้ายๆกับ Porsche Cayenne Coupe, BMW X6 แต่เจ้า Avatr 11 จะเน้นการใช้เส้นสายที่ดูเรียบง่ายกว่า โดยเน้นไปที่การเชื่อมต่อเส้นโค้งมาจากข้างตัวถัง แล้วตวัดเข้ากับแถบไฟท้ายแอบบ Cross Tail Light ที่ค่อนข้างแบน
และแอบซ่อนความแปลกตาด้วยการติดตั้งกระจกแบบเว้าลึกเข้าไปจากฝาท้าย พร้อมครอบด้านบนด้วยสปอยเลอร์หลังอีกที ซึ่งดีไซน์ลักษณะนี้ ปกติแล้วจะมีให้เห็นในรถซุปเปอร์คาร์เครื่องยนต์วางหลังเสียมากกว่า แล้วจึงปิดด้วยกันชนท้าย ที่มีการตัดโทนครึ่งล่างด้วยชิ้นส่วนสีดำที่ยังคงใช้ลายเส้นโค้งมน รับกับส่วนอื่นๆของตัวถังเช่นเคย
ภายในห้องโดยสาร เน้นความโปร่งโล่งสบายในส่วนของกระจกบานหน้า และบานข้าง ทั้งของฝั่งประตูคู่หน้าและคู่หลัง แต่กระจกท้ายอาจจะไม่ได้กว้างมากนัก โดยสังเกตได้จากงานออกแบบภายนอก
ขณะที่ตัวคอนโซลหน้า ก็เน้นความเรียบง่ายเช่นกัน เพราะยังคงเน้นงานออกแบบที่โค้งมน และเทบไม่มีส่วนแต่งเติมใดๆ นอกไปเสียจาก ชุดหน้าจอ 3 ตัว แบ่งเป็นจอขนาด 10.25 นิ้ว สำหรับทั้งผู้ขับ และผู้โดยสาร กับจอกลางขนาด 15.6 นิ้ว สำหรับควบคุมลูกเล่นต่างๆภายในรถทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งระบบไฟแวดล้อม หรือ Ambient Light 256 เฉดสี เว้นเพียงลูกเล่นสำหรับการขับขี่พื้นฐานที่ยังคงอยู่บนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันตามด้วย
ด้านความสะดวกสบาย เบาะนั่งของรถทั้งหมด จะหุ้มด้วยหนัง Nappa โดยการปรับตำแหน่งเบาะ จะมีสวิทช์ติดตั้งไว้ที่แผงข้างประตู ไม่ได้อยู่กับเบาะนั่ง ทุกที่นั่ง เพราะหากลูกค้าเลือกรถแบบ 4 ที่นั่ง ตัวเบาะคู่หลังก็จะสามารถปรับตำแหน่งการเอนนอนได้เช่นกัน โดยมีที่วางแขนแบ่งโซนตรงกลาง นอกนั้นก็ยังมีแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายอีก 2 ตำแหน่งที่คอนโซลกลาง และอีก 1 ตำแหน่งทางด้านหลัง
โดยหากอิงตามข้อมูลทางเทคนิคของตัวรถที่วางจำหน่ายในประเทศจีน หลักๆแล้วเจ้า Avatr 11 จะมีตัวเลือกแบตเตอรี่ให้เลือก 2 แบบ เริ่มที่รุ่นเริ่มต้น Standard Range ซึ่งได้แบตเตอรี่ความจุ 90.38 kWh DC ซึ่งรองรับการชาร์จไฟด้วยกำลังสูงสุด 240 kW 0-80% ภายในเวลา 25 นาที และ 30-80% ภายในเวลา 15 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% กำลังไฟสูงสุด 11 kW น้อยกว่า 10.5 ชั่วโมง
ขณะที่ขุมกำลังขับเคลื่อน ก็จะถูกแบ่งเป็น รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลัง 313 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 600-630 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 6.6 วินาที
และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อให้กำลังรวม 578 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 555-580 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.98 วินาที
ด้านตัวรถรุ่น Extended Range ก็จะได้แบตเตอรี่ที่มีความจุมากขึ้น เป็น 116.79 kWh รองรับความสามารถในการชาร์จไฟด้วยระดับ DC ได้สูงสุด 240 kW และทำให้สามารถชาร์จไฟจาก 0-80% ภายในเวลา 45 นาที และ 30-80% ภายในเวลา 25 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% กำลังไฟสูงสุด 11 kW น้อยกว่า 13.5 ชั่วโมง
ด้านขุมกำลังก็จะมีให้เลือทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ที่ให้กำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร ดังเดิม วิ่งไกลสุด 705-730 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 6.9 วินาที
ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อให้กำลังรวม 578 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 680-700 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 4.5 วินาที
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Avatr 11 ในประเทศจีน ก็มีการตั้งราคาเริ่มต้นที่ 300,000-390,000 Yuan หรือราว 1,489,000-1,929,000 บาท ซึ่งในไทยจะมีการปรับขึ้น-ลง เท่าไหร่ และจะเปิดตัวตอนไหน ก็ต้องรอติดตามดูกันต่อไป แต่คงอีกไม่นานนักหลังจากนี้แน่นอน