ตั้งแต่เปิดตัวออกมาเมื่อช่วงปลายปี 2018 Subaru Forester ใหม่ รุ่นโฉมประกอบจากโรงงานในไทย ก็ดูจะเป็นที่สนใจของใครหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาที่คุ้มค่าน่าสนใจ และออพชั่นมาครบจัดเต็ม
เส้นทางที่ดูจะโรยด้วยกลีบกุหลาบหลังราคาขาออกมาจนสร้างความว้าวได้ไม่น้อย กลับมาสะดุด หลังนิสสันเปิดตัว Nissan X Trail ใหม่ เข้าสู่ตลาด แม้ว่าจะเป็นเพียงการปรับโฉมเท่านั้น แต่ครั้งนี้ก็พกความครบเครื่องคุ้มค่า จนวันนี้ถ้าคุณจะซื้ออเนกประสงค์ ก็คง 2 คันนี้นี่แหละที่เราอยากจะแนะนำ
หล่อเหล่า หรือเอาภูมิฐาน
การเปลี่ยนของ Nissan X- Trail ใหม่ โจทย์สำคัญ คือการอัพเดทรายละเอียดให้ไปในอนวทางเดียวกับเพ่อนร่วมก๊วน ดว้ยเส้นสาย V Motion 2.0 ที่ใช้มาในช่วง 2-3 ปีนี้ การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่
ให้ไฟหน้า LED โคมไฟท้ายเป็นรมดำแบบ LED เช่นกัน รวมถึงยังติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ลวดลายที่ต้องบอกว่าดูแล้วน่าสนใจไม่หยอกกับความสปอร์ต ยังคงมีลูกเล่นหลังคาพาโนรามิครูฟมาให้ สำหรับคนที่ชอบรับลมชมแดด ถ้าไม่กลัวผิวเสีย
ทางด้าน Subaru Forester เปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วยเส้นสายการออกแบบใหม่ ดูภูมิฐานมากกว่ารุ่นเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าที่ดูพรีเมี่ยมมากขึ้นกว่าเดิม สื่อถึงความเป็นอเนกประสสงค์สไตล์หรู ฉีกจากเพื่อนพ้องรุ่นเดิมที่เคยทำตลาดมา ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ไม่มีหลังคา Panoramic มาให้
หน้าตาใหม่ไม่ใช่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น รถรุ่นนี้ยังพัฒนาบนโครงสร้างใหม่ Subaru Global Platform ที่มีใช้เหล็กที่มีความแข็งแรงมากขึ้น รวมถึงยังลดศูนย์ถ่วงเครื่องยนต์ต่ำลงด้วยทำให้ได้สมรรถนะในการขับขี่ในระดับหนึ่ง
โดยในส่วนขนาดตัวรถ ทั้ง 2 รุ่น กี้ขนาดใกล้เคียงกัน เพียงแต่เจ้า Nissan X-Trail จะยาวกว่านิดหน่อย เท่านั้นเอง
ตารางแสดงการเปรียบเทียบ มิติตัวถังรถ
Subaru Forester 2.0 i-S Forester | Nissan X Trail 2.5 VL 4WD | |
ความยาว (มม.) | 4,625 | 4,690 |
ความกว้าง (มม.) | 1,815 | 1,820 |
ความสูง (มม.) | 1,730 | 1,740 |
ฐานล้อ (มม.) | 2,670 | 2,705 |
ระยะต่ำสุดจากพื้น (มม.) | 220 | 210 |
7 หรือ 5 ก็อยู่ที่มุมมอง
ก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร กันบ้าง
ในด้าน Subaru Forester ต้องยอมรับว่า มีพัฒนาการการออกแบบที่ดีขึ้นจนนน่าประทับใจ โดยเฉพาะการให้ ภายในห้อที่มีความพรีเมี่ยมมากขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า ระบบปรับอากาศแยก 2 โซน เบาะนั่งหลังสามารถปรับพับได้ ในอัตรา 60/40 และพื้นที่โดยสารที่เหลือเฟือ ช่วยให้นั่งสบาย
จุดเด่นข้อหนึ่งของ Subaru Forester คือ การออกแบบให้ห้องโดยสารสูงโปร่ง ทำให้รู้สึกนั่งสบาย รวมถึงการออกแบบตัวประตู นั้นมีความกว้าง ทำให้ขึ้นลงได้สะดวกมากขึ้นด้วย
ในส่วนฟังชั่น ความสะดวกสบายก็ยังคงครบครัน ไม่ว่าจะประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า , ระบบปรับอากาศแยก 2 โซน ไปจนถึงระบบพิเศษในการล็อกรถที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ Pin code Access เหมาะสำหรับนักทำกิจกรรมทั้งหลาย คุณสามารถล็อครถได้ทันที ด้วยการตั้งรหัสเฉพาะตัว และสามารถปลดล็อคได้เพียงกดเคาะรหัสผ่านเท่านั้น ส่วนเครื่องเสียงเป็นจอสัมผัส 8 นิ้ว พร้อมรองรับการเชื่อมต่อมาให้เสร็จสรรพแล้ว
ทางฝั่ง Nissan X-Trail ยังคงความเป็นรถอเนกประสงค์ที่มีความครบครันในตัวพร้อมทุกการใช้งาน จุดเด่นของรถรุ่นนี้ตั้งแต่วันแรกที่ขายในไทยมาจนถึงวันนี้ คือการเป็นผู้นำทางด้านอเนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง ครั้งแรกในคอมแพ็ค Crossover ด้วยรูปแบบ 5+2
ตัวเบาะแถว 3 สามารถปรับพับได้ในอัตรา 50/50 เบาะแถว 2 ปรับพับได้ในอัตรา 40/20/40 เช่นเดียวกัน เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับ 6 ทิศ ทาง ฝั่งคนนั่ง 4 ทิศทาง ระบบเครื่องเสียงเป็นจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว มีแผนที่นำทางในตัว พร้อมรองรับการเชื่อมต่อเช่นกัน ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบ handfree Access
ดูเผินๆรถคันนี้อาจฟังชั่นไม่มากมายนัก แต่ไฮไลท์จากที่ได้สัมผัสในรุ่นก่อนหน้านี้อยู่ที่คุณภาพการโดยสารถือว่าทำออกมาได้ยอดเยี่ยม สามารถนั่งได้สบายในทุกที่นั่ง แม้แต่เบาะนั่งแถว 3 คุณก็ยังสามารถยัดผู้หญิงสูง 165 มม. ไปโดยสารได้
ที่สำคัญระบบปรับอากาศ 2 โซน ไม่ใช่ลูกเล่นเดียวที่ให้มา มันยังมาพร้อมช่องแอร์ตอนหลัง ช่วยกระจายลมทั้งคัน ให้ความสบายมากขึ้น ตัวห้องโดยสารอาจไม่รู้สึกโปร่งเท่า Forester แต่ก็ดีพอจะทำให้มนุษย์ตัวสูง 180 ซ.ม. นั่งขับได้ไม่รู้สึกอึดอัด
ดังนั้นถ้าเทียบแล้ว Nissan X Trail จะกิน Subaru Forester ก็ตรง 7 ที่นั่ง ซึ่งทำให้คุณขนคนได้มากกว่า ยามต้องการ ว่าแต่เราต้องการเบาะแถว 3 นั่นจริงๆ หรือ
2.0 หรือ 2.5
ไฮไลท์หนึ่งที่ดูเหมือนจะทำให้หลายคนตื่นตาตื่นใจกับ Nissan X-Trail ขึ้นมามาก ก็ดูจะไม่พ้นการปรับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ออกไป แล้วแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร (ยกเว้นรุ่นไฮบริด)
เครื่องยนต์บล็อกนี้เดิมทีมีแนะนำอยู่แล้ว แต่เป็นเพียงรุ่นท๊อปออพชั่นของรถรุ่นก่อนปรับโฉมเท่านั้น มันทำกำลัง สูงถึง 179 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุด 223 นิวตันเมตร ควบมาพร้อมระบบเกียร์ X Tronic CVT สามารถปรับอัตราทดเองได้ถึง 7 จังหวะ
จากที่เคยขับเครื่องยนต์บล็อกนี้มาแล้วก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ของ Nissan ตอบสนองในการขับขี่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับใครที่มองว่าชอบขับรถเร็ว เน้นมีรถเอาไว้เดินทางต่างจังหวัดมากกว่าใช้งานในเมือง เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เหมาะมาก มันเร่งแซงมั่นใจ อัตราประหยัดไม่ขี้เหร่อย่างที่เราคิด ด้วยตัวเลขพื้นฐาน 13 กิโลเมตรต่อลิตรจากการใช้งานจริง
ฝั่ง Subaru Forester ทีแรกก็นึกว่าในเวอร์ชั่นเอเชียจะใช้เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรเหมือนทางฝั่งอเมริกา ซึ่งมีการปรับขยับเครื่องขึ้นมาจะได้ฉีกจาก Subaru XV ที่เคยมีการค่อนขอดว่า 2 รุ่นนี้กำลังไม่ต่างกันเลย
น่าเสียดายที่ในเวอร์ชั่นเอเชียยังคงแนวทางเดิม ด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร แบบเดียวกับที่ใช้ใน Subaru XV แม้ว่าจะมีการอัพเดทพลังขึ้นมาเป็น 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และ 196 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ยังคงส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ CVT เช่นเคย แต่มาพร้อมลูกเล่น โหมดการขับขี่ S/I Drive จะขับปกติก็ได้ จะซิ่งก็ดี
ทางด้านออพชั่นระบบขับเคลื่อน ทั้งคู่ ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มาด้วย ระบบของ Nissan X Trail มีดีกว่า Subaru อยุ่นิดหน่อย ด้วยการทำงานได้ 3 รูปแบบ ผ่าน Rotor Switch สามารถปรับหมุนการทำงานได้ว่า จะเป็นขับเคลื่อน 2 ล้อ , ขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ หรือจะเลือกเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา สำหรับทางลุยก็ทำได้
ขณะที่ทาง Subaru เป็นที่ทราบกันดีว่า มันมาพร้อมระบบขับเคลื่อน Symmetrical All Wheel Drive ถือเป็นจุดเด่นของรถยี่ห้อนี้มายาวนาน ในงวดนี้พวกเขาติดตั้งระบบช่วยขับขี่ที่เรียกว่า X Mode ควบรวมการทำงานของระบบเครื่องยนต์ ,คันเร่ง ,และเกียร์ เพื่อให้สามารถฝ่าอุปสรรคได้ง่าย
ในรุ่น 2.0 is-eyesight เป็นระบบที่พิเศษยิ่งขึ้น เรียกว่า Special X Mode สามารถประบการทำงานได้ 3 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ , Dirt/Snow และ Deep Snow / mud ความสามารถที่เพิ่มขึ้น ทำให้จากที่ทดลองขับระบบดังกล่าว เมื่อครั้นมีอโอกาสทดสอบที่ประเทศไต้หวัน เป็นที่ชัดเจนว่า ระบบใหม่นี้จะช่วยให้คุณลุยสมบุกสมบันได้มากขึ้น
ดังนั้นเรื่องลุย ถ้าเน้นลุยเยอะ Forester น่าจะได้เปรียบ กลับกัน ถ้าต้องการการใช้งานบนทางปกติมากกว่ และลุยบ้างเป็นบางเวลา Nissan X- Trail คือ รถที่น่าจะตอบโจทย์มากที่สุด
ตารางเปรียบเทียบเรื่องการขับขี่
Subaru Forester 2.0 i-S Forester | Nissan X Trail 2.5 VL 4WD | |
เครื่องยนต์ | Boxer 4 Cylinder 2.0 liter | 4 Inline 2.5 liter |
กำลงเครื่อง | 156 ps | 179 ps |
แรงบิดสูงสุด | 196 นิวตันเมตร | 233 นิวตันเมตร |
ชุดเกียร์ | Lineartronic CVT | X Tronic CVT |
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ | AWD + X Mode | 3 Selectable Mode |
แล้วเรื่องความปลอดภัย
เอาล่ะในที่สุด เราก็มาถึงเรื่องสุดท้ายนั่นคือความปลอดภัย สิ่งที่เราจะไม่คำนึงถึงในยุคนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตำแหน่งความเป็นรถครอบครัว ที่ควรจะปลอดภัยในทุกเส้นทาง
ตั้งแต่ Nissan X-Trail เปิดตัวขายมาตั้งแต่ปี 2014 เจ้าอเนกประสงค์คันนี้มาพร้อมกับความปลอดภัยที่ถือว่าล้ำยุคมากในเวลานั้นมาจนถึงวันนี้ แต่มุ่งเน้นไปที่การให้ตัวช่วยในระหว่างการขับขี่มากกว่า มีระบบที่มีรายการยาวเป็นหางว่าว เริ่มจาก Active Engine Brake ช่วยตบเกียร์ลง Active Trace Control ช่วยสร้างสเถียรภาพในการเข้าโค้ง รวมถึงยังมีระบบความปลอดภัยอย่างระบบควบคุมการทรงตัว , ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค และกระจายแรงเบรก
ส่วนถุงลมนิรภัยมีมาให้สูงสุดถึง 6 ใบ ประกอบด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้า ,ถุงลมนิรภัย ทางด้านข้าง และม่านนิรภัยและให้โครงสร้างนิรภัย Zone body Concept ด้วย
ทางด้าน Subaru Forester ครบเครื่องเรื่องความปลอดภัยไม่แพ้กัน มีระบบหลายอย่างคล้ายใน Nissan X- Trail เช่นระบบควบุคมแรงบิดในขณะเข้าโค้ง, ระบบควบคุมสเถียรภาพในขณะเข้าโค้ง รวมถึงยังมีระบบเบรกป้องกันล้อล็อคแบบ 4 แชนเนล ให้มาเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นด้วย
อย่างที่เรากล่าวไปแล้วข้างต้นในการเปรียบเทียบครั้งนี้เราเลือกรุ่นท๊อปสุดซึ่งมีแพ็คเกจระบบความปลอดภัยที่เรียกว่า Subaru Eyesight เข้ามาช่วยให้ความปลอดภัยมากขึ้น
ระบบ Eyesight จะประกอบด้วย 3 ระบบ สำคัญ คือ
1.ระบบเบรกและจัดการกำลังเครื่องยนต์ก่อนการชน
2.ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงหรือออกจากช่องทางขับ
3.ระบบควบคุมความเร็วที่แปรผันและเตือนเมื่อรถคันหน้าออกตัว
นอกจากทั้ง 3 ระบบที่กล่าวไปแล้ว ยังมีระบบเตือนจุดอับมุมบอดสายตา และระบบเตือนขณะถอยรถออกจากซองด้วย
ทางด้าน Nissan X Trail มีระบบเหล่านี้มาให้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะไฮไลท์เด็ดกับมุมมองกล้อง 360 องศา พร้อมตรวจจับวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน , มีระบบเตือนหลุดเลน , ระบบเตือนจุดอับสายตา , ระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ ,ระบบไฟสูงอัตโนมัติ รวมถังระบบเตือนขณะถอยรถ
สรุปคันไหนน่าสนใจ
หลังจากอ่านข้อมูลโดยละเอียด คงจะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 คันต่างมีดีกันในคนละด้าน
ก่อนอื่น เราอยากให้คุณมองราคารถทั้ง 2 รุ่นที่มีความแตกต่างกันพอสมควร
Nissan X Trail 2.5 VL 4WD | 1,660,000 บาท |
Subaru Forester 2.0 is Eyesight | 1,450,000 บาท |
ราคาที่มีส่วนต่างราวๆ 210,000 บาท ถ้ามองว่าคันไหนคุ้มค่า ก็ต้องมองก่อนว่า คุณต้องการอะไรจากรถอเนกประสงค์ที่กำลังมองว่า
ในแง่นี้ถ้าเป็นคนใช้ในเมือง และจำนวนที่นั่ง 5 ที่นั่งพอเพียงต่อการใช้งาน ต้องการรถที่นั่งและขับสบาย สูงโปร่ง สะดวกต่อการขับขี่ ผมมองว่า Subaru Forester 2.0 is Eyesight อาจจะเป็นคำตอบ แม้ว่ากำลังเครื่องยนต์อาจจะดูเหมือนน้อยกว่าคู่แข่ง แต่ด้วยการมีโหมดการขับขี่ ทำให้สามารถตอบสนองได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง และเครื่องยนต์ 2.0 ยังพอเหมาะสำหรับการผจญภัยในเมือง ไม่ซดน้ำมันโหดไปสำหรับ คนที่วางแผนว่าจะมีรถคันเดียว
กลับกัน Nissan X-Trail โดดเด่นด้วยความสปอร์ตมากกว่า โดยเฉพาะเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 179 แรงม้า ที่ต้องบอกว่ามีความแรงเร้าใจในตัวเอง รวมถึงภาพลักษณ์รถที่ทันสมัยมากขึ้น ข้อดีของรถรุ่นนี้ที่ไม่สามารปฏิเสธได้อีกข้อ คือ ที่นั่งที่สามารถรองรับได้ 7 ที่ ซึ่งถ้าคุณมีความจำเป็นต้องใช้จำนวนที่นั่งมากถึงขนาดนั้นเป็นประจำ ก็เรียกว่าเป็นตัวเลือกที่ดี
อีกเรื่องที่ดูจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ คือระบบขับเคลื่อน สี่ล้อที่สามารถปรับเลือกได้ทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อนสี่ล้อ ได้ตามต้องการ ผิดกับคู่แข่งที่ทำให้ได้แต่ขับเคลื่อนสี่ล้อ
แต่ถ้าคิดว่าจะเอารถทั้ง 2 คันไปลุย ก็ต้องบอกเลยว่า Subaru Forester จะตอบโจทย์ดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะความสามารถของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อดั้งเดิม และ X Mode ที่เข้ามาช่วยในการขับขี่มากขึ้น
ส่วนเรื่องความปลอดภัยและความสามารถในการขับขี่ ทั้งคู่ต่างไม่ต่างกันมากนัก ยกเว้น แพ็คเกจ Subaru eyesight ที่มีของเล่นพิเศษมากกว่า ของทางนิสสัน ซึ่งจะเป็นลูกเล่นทันสมัย ใช้งานระหว่างขับขี่มากกว่า
ดังนั้นถ้าให้เลือก ผมว่า Subaru Forester 2.0 iS ค่อนข้างจะน่าสนใจกว่า แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบรถที่ขับสนุกออกตัวทันทีเร่งทันใจ ผมกล้าพูดว่า Nissan X- Trail น่าจะเหมาะกว่า ยิ่งถ้าคุณไม่เน้นเรื่องการลุย อาจจะปรับลดลงมาสู่รุ่น 2.5 V 2WD ที่มีราคาขายเพียง 1,460,000 บาท เท่านั้น