Home » คุยหลังขับเอาให้ชัด Toyota C-HR 1.8 หรือไฮบริด ใครคุ้มค่ากว่ากัน
บทความ เปรียบเทียบรถใหม่

คุยหลังขับเอาให้ชัด Toyota C-HR 1.8 หรือไฮบริด ใครคุ้มค่ากว่ากัน

ตั้งแต่ Toyota    เอาเจ้า   Toyota  C-HR   มาขาย หลายคนดูจะสนใจรถคันนี้ไม่น้อย แต่ประเด็นที่หลายคนต่างพูดถึงอย่างมาก ก็หนีไม่พ้นว่า รุ่นไฮบริด หรือ รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร คันไหนคุ้มกว่ากัน

ก่อนอื่น ต้องบอกก่อน ในการขับทดสอบของเรา ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้สัมผัส ทั้ง   Toyota  C-HR  HV Hi   และ  รุ่น 1.8   Mid   ทั้งสองรุ่นมีความแตกต่างกันบ้างในแง่ของออพชั่นตัวรถ แต่ในครั้งนี้เราจะพูดในภาพรวม และการเปรียบเทียบน่าสนใจในเชิงการใช้งานจริงที่เกิดขึ้น

Toyota 1.8 C-HR Hybrid

เชื่อเลยว่าหลายคนชอบ   Toyota C-HR   รักพกมันไม่ได้มาจากการออกแบบเพียงอย่างเดียวหากยังเป็นเรื่องของสีสันตัวรถที่ทำออกมาได้เจ็บจี๊ดโดนใจ และไม่เคยมีมาก่อนในแบรนด์รถยนต์รายนี้

Toyota 1.8 C-HR Hybrid

เพื่อความกระจ่างมากขึ้นถึงรถแต่ละรุ่นสามารถอ่านรีวิว   Toyota C-HR 1.8 HV Hi   ได้ที่นี่

Toyota C-HR

เพื่อความกระจ่างมากขึ้นถึงรถแต่ละรุ่นสามารถอ่านรีวิว   Toyota C-HR 1.8 Mid   ได้ที่นี่

Toyota C-HR

การให้รายละเอียดสีสันฉูดฉาดแถมยังมีสีทุโทนให้เลือก เป็นอย่างแรกของความแตกต่าง และยังมีพวกไฟวิ่ง เช่นไฟเลี้ยวและไฟท้าย   LED   เป็นของตบแต่งเฉพาะรุ่นไฮบริดเท่านั้นส่วนในรุ่น 1.8 ลิตร ให้รายละเอียดต่างกัน เป็นโคมโปรเจคเตร์ไฟฮาโลเจนและไฟท้ายปกติดูแปลกตา ชุดล้อและยางเหมือนกันราวกับแกะไม่มีแบ่งแยกชนชั้นด้วยล้ออัลลอยขนาด17 นิ้ว พร้อมยาง   Dunlop Ena save  ยางประหยัดขับไม่สนุกเท่าไร

Toyota 1.8 C-HR Hybrid
ภายในห้องโดยสาร ทั้งรุ่น 1.8 และไฮบริดเหมือนกัน อาจจะมีความต่างบ้างที่การออกแบบ

ภายในห้องโดยสารเป็นทูโทนน้ำตาล-ดำ เบาะนั่งสีดำหุ้มหนัง เบาะหลังพับแยกได้ 60/40 รวมถึงมีจอแสดงข้อมูลตรงกลางเรือนไมล์ขนาด 4.2 นิ้ว และเครื่องเสียงจอสัมผัส 7 นิ้ว พร้อมลำโพง 6 ตำแหน่งในห้องโดยสารทั้งสองรุ่น

Toyota C-HR Hybrid

Toyota C-HR Hybrid

รายละเอียดที่เปลี่ยนไปในรุ่นท๊อป(ไฮบริด)อยู่ที่การให้ระบบเชื่อมต่อทางไกล   Toyota T- Connect   และ  แผนที่ช่วยนำทาง และคุณยังขาดแคลนออพชั่นระบบความปลอดภัยขั้นสูงจากแพ็คเกจ   Toyota Safety  Sense  อาทิระบบเตือนมุมอับสายตา , ระบบช่วยเตือน ถอยออกจากซอง ,ระบบไฟสูงอัตโนมัติ,ระบบเตือนการเหนื่อยล้าในขณะขับขี่ รวมถึงระบบ   Dynamic Radar Cruise Control 

เรื่องขับเป็นอย่างไร

หลังจากขับทั้ง 2 รุ่น แล้ว …  ผมขอแยกเป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้

อัตราเร่ง

ต้องยอมรับว่าในความรู้สึกในหลายแง่มุม  Toyota C-HR 1.8   ลิตรกลับให้ความรู้สึกที่ดีกว่าในการขับขี่ โดยเฉพาะอัจราเร่งจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 140 แรงม้า เกียร์  CVT   ดูจี๊ดจ๊าดกว่าถ้าวิจารณ์ในมุมความรู้สึก

Toyota C-HR Hybrid

กลับกันรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด ออกตัวเร็วเท่ากันจากการทำงานมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วรับไม้ต่อด้วยระบบเครื่องยนต์ที่แปลงมาเป็นแอทคินสันไซเคิล  ซึ่งการขับทางไกลก็มีปัญหาบ้าง เช่น ถ้าแบตเตอร์รี่เหลือไฟน้อย โดยเฉพาะขับทางยาวๆ เป็นระยะเวลานานๆ การช่วยเหลือจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะน้อยลง หรือช่วยไม่นาน ทำให้ความรู้สึกในการขับขี่ทางไกล บางครั้งรู้สึกว่าไม่ทันอกทันใจ แม้ว่าจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วย แต่ก็เพียงประเดี๋ยวท่านั้น

และจากการวัดอัตราเร่ง  แม้ความรู้สึกเราจะคิดว่ามันเร่งดีกว่า หากในทางตัวเลขสถิติกลับว่ามันไม่ต่างกันนัก

ตารางแสดงข้อมูลอัตราเร่ง และความเร็วสูงสุด

  Toyota C-HR 1.8 HV Hi Toyota C-HR 1.8 Mid
อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. เฉลี่ย (วินาที) 11.99 12.01
อัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ช.ม. เฉลี่ย (วินาที) 9.66 8.67
ความเร็วสูงสุด (ก.ม./ช.ม.) 182 195

หมายเหตุ ทดสอบบนถนนลาดยาง นั่ง 2 คน เปิดระบบปรับอากาศ ตามปกติ  จับอัตราเร่งด้วย   GPS

โดยผลการทดสอบบ่งชี้ว่า  Toyota  C-HR  1.8   ทำอัตราเร่งจากหยุดนิ่ง ไปยังความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม. เท่ากับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด แต่เมื่อลอยตัวไปแล้ว ในช่วงความเร็ว 80-120 ก.ม./.ช.ม. เครื่อง 1.8 ลิตร เร่งดีกว่า 1 วินาที และความเร็วปลายมากกว่าถึง 13 ก.ม./ช.ม.

ทำไมเครื่อง 1.8 ลิตร ทำได้ดีกว่า นั่นเพราะ เครื่อง 1.8 มีกำลังแรงม้ามากกว่า เครื่องไฮบริดมีกำลังรวมเครื่องและมอเตอร์เพียง 120 แรงม้า แต่พอเป็นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กำลังขับเพิ่มเป็น 140 แรงม้า แต่ที่อัตราเร่งออกจากหยุดนิ่งเท่ากัน เนื่องจาก การตอบสนองมอเตอร์ไฟฟ้า ดีกว่าเครื่องยนต์ (ไม่รอรอบ)

ประการต่อรุ่นไฮบริดมีน้ำหนักมากกว่า 70 กิโลกรัม ซึ่งการแบกน้ำหนักมากกว่าเป็ยผลทำให้มันไม่ได้เร่งดีกว่า และยังช้ากว่าเมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าไม่ได้เข้าช่วยนักในช่วง 80-120 ก.ม./ช.ม. ตลอดจนความเร็วปลาย (ถ้าคุณชอบใช้ความเร็ว) ที่ระยะทาง 3 ก.ม.เท่ากัน  รุ่น 1.8 ลิตร เข้าวินไปอย่างสบายๆ  เพราะไฮบริดอาจมีข้อจำกัดเรื่องมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยส่วนหนึ่ง

อัตราประหยัด

เราแง่สมรรถถนะ คงเห็นแล้วว่า รุ่น 1.8 ลิตร นี่ขวัญใจคนชอบซิ่งก็ว่าได้ แต่ในแง่ความประหยัดเป็นอย่างไรบ้าง

Toyota C-HR Hybrid

เมื่อมองมุมนี้รถรุ่นไฮบริดทำได้ดีกว่าในแง่การใช้งานในเมือง การาจราจรหนาแน่นคับคั่ง เดี่ยวขับเดี๋ยวไฟแดง เป็นจุดที่คุณจะใช้ประโยชน์จากมอเตอร์ไฟฟ้าได้ง่ายกว่าจากการขับขี่นอกเมืองเดินทางไกล

ไม่น่าแปลกใจที่ในเมืองรถรุ่นไฮบริด ทำอัตราประหยัดได้ 17. 22 ก.ม./ลิตร และก็ไม่ขี้เหร่เมื่อขับนอกเมืองด้วยอัตราประหยัด 15.44 ก.ม./ลิตร ถือว่าประหยัดเลยทีเดียว

กลับกันเมื่อมาขึ้นขับรุ่น 1.8 ลิตร กลับพบว่า คุณต้องทำใจกับมันสักหน่อยกับการขับขี่ในเมือง ซึ่งเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มีการปรับอัตราทดเฟืองท้ายใหม่ มันได้เรื่องอัตราเร่งจี๊ดจ๊าด แต่ก็ต้องแลกด้วยความประหยัดที่ดันซดเท่าเครื่อง 2.0 ลิตร ได้อัตราประหยัดเพียง 10.55 ก.ม./ลิตรเมื่อขับในเมืองที่รถติด

Toyota C-HR

กลับกันเมื่อออกนอกเมืองด้วยความเป็นเครื่องยนต์บล็อกกลางกำลังเยอะแตะเป็นมากำลังไม่ขาดสาย เจ้ารถยนต์คันนี้มาพร้อมความประหยัดเช่นกันรอบเครื่องยนต์ที่ 120 ก.ม./ช.ม. อยู่ที่ 2,100 รอบต่อนาที ช่วยให้คุณไม่ต้องเร่งคิกดาวน์บ่อยครั้งเร่งเนียนๆ ไปพริ้วๆ ก็ทำได้ยากนัก 

และด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ที่ความเร็ว 100-120 ก.ม/ช.ม. ในการขับทดสอบของเรา จบอัตราประหยัดสูงถึง 18.87 ก.ม./ลิตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงมากในระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ด้วยคุณงามความดีของการรองรับพลังงานทางเลือก  E85  เป็นอานิสงค์ให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ถ้าวันไหนกินแกลบก็ให้รถซด  E85   มีเงินจะอัดเบนซิน 95 ก็ได้ตามความชอบของคุณ

ตารางแสดงผลการทดสอบอัตราประหยัด

  Toyota C-HR 1.8 HV Hi Toyota C-HR 1.8 Mid
อัตราประหยัดในเมือง (ก.ม./ลิตร) 17.22 10.55
อัตราประหยัดนอกเมือง (ก.ม./ลิตร) 15.44 18.87
รองรับพลังงานทางเลือก E20 E85

สรุป เน้นแรงไป 1.8 – ประหยัดไปไฮบริด

หลังจากทดสอบรถ   Toyota  C-HR   ทั้ง 2 รุ่น ผมจบลงมาพร้อมคำตอบสำหรับคุณๆ ที่ต้องการอยากทราบ ว่าคันไหนเหมาะอย่างไร

ถ้าคุณเน้นขับรถในเมืองเดินทางต่างจังหวัดบ้าง และมีงบประมาณมากพอ   Toyota C-HR Hybrid  ถือเป็นคำตอบที่น่าสนใน ใจแง่การใช้รถในภาพรวมทั่วไป ซึ่งเราต้องการรถยนต์ที่มีความประหยัดขับสนุก ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ไม่ต้องหวั่นใจเมื่อรถติด

ในการทดสอบเราอาจจะขับตัว   HV Hi  ซึ่งมาพร้อมระบบความปลอดภัยชั้นนำ และระบบนำทาง รวมถึงมีระบบกฟอกอากาศ   Nanoe  รวมถึง  Welcome Light   

ถ้าคิดว่าที่กล่าวมานั้นไม่จำเป็นรุ่น   HV Mid   ออพชั่นกลางก็มีราคาแพงกว่าตัว 1.8   Mid   เพียง30,000 บาทเท่านั้น เป็นรถที่ดูแล้วคุ้มค่าไม่หยอก

แต่ในไฮบริด สมรรถนะของมันเน้นไปที่ความประหยัดในการขับขี่มากกว่าสมรรถนะ เหมาะกับคนที่เน้นรถใช้งานในชีวิตประจำวันขับไปทำงานากลับบ้าน

ในด้านรุ่น 1.8 ลิตร เป็นรถที่ต้องเรียกว่าออกแบบมาเหมาะกับการเดินทางไกลจริงๆ เพราะเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ไปเด่นเรื่องอัตราประหยัดนอกเมือง เสียมากกว่า  แต่ถ้าคิดว่าซื้อใช้ขับในเมืองอาจจะไม่เหมาะเท่าไร การซดน้ำมันถือว่าเอาเรื่องใกล้เคียงเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร

ส่วนเรื่องสมรรนถะเครื่องยนต์ก็ไม่ได้ดีเด่นกว่ารุ่นไฮบริดมาก แม้ว่ากำลังจะมากกว่า 20 แรงม้า ซึ่งมันดีพอจะให้การเร่งแซงมั่นใจกว่าในความรู้สึก เทียบจากการทดสอบ ดีกว่ารุ่นไอบริด 1 วินาที และความเร็วปลายสูงกว่า 13 ก.ม./ช.ม.

อีกประเด็นสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือความสามารถในการใช้พลังงานทางเลือก  E85   แต่ก็ยังไม่ได้ลองทดสอบดูนะว่า มันจะทำได้ดีเพียงใด ทั้งในแง่อัตราเร่งและความประหยัด

ถ้าสรุป ผมบอกได้เลยว่า เน้นประหยัดไปไฮบริด ส่วนเน้นสมรรถนะไปเครื่องยนต์ปกติ คงเป็นคำนิยามสั้นๆ สำหรับคนที่ตัดสินใจยังไม่ได้ว่าจะซื้อรุ่นไหนดี

หากถ้าคุณไม่ได้แคร์พวกของเล่นล้ำสมัย ระบบความปลอดภัย ต่างๆ นานา สำหรับเราไฮบริดรุ่นกลาง หรือ   HV Mid   ถือว่าคุ้ม เพราเพิ่ม 30,000 บาท เท่านั้น คุณก็ก้าวสู่โลกใหม่ ไฮบริด ตอบความประหยัดการใช้งาน

หมายเหตุการวิเคราะห์ และชี้นำในบทความนี้เป็นเพียงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หากต้องการซื้อรถควรใช้วิจารณญาณด้วยตัวเอง

เรื่องโดยณัฐยศ ชูบรรจง ติดตามผลงานและข้อมูลการทดสอบรถน่าสนใจได้ที่   Facebook

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.