ผ่านไป 10 กวก่าปี นับตั้งแต่ LaFerrari ได้ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรก ในที่สุดทางค่ายม้าลำพองก็มีการออกตัวตายตัวแทนใหม่ของมันอย้่งเป็นทางการแล้วภายใต้ชื่อ Ferrari F80
Ferrari F80 มาพร้อมกับสมรรถนะในระดับไฮเปอร์คาร์ เพื่อให้สมราคากับความเป็นสุดยอดรถเรือธงของแบรนด์ม้าลำพองในยุคปี 202X
แต่ถึงกระนั้น หัวใจของมันกลับอาจจะฟังดูขัดใจเหล่าสาวกสักหน่อย เพราะแทนที่มันจะใช้ขุมกำลัง V12 ขนาดใหญ่ เหมือนเหล่าพี่ๆในอดีต คราวนี้มันกลับมาพร้อมกับเครื่องยนต์รหัส F163CF ที่มีจำนวนลูกสูบน้อยลงกว่าครึ่ง แบบ V6 ทำมุม 120 องศา แถมยังมาพร้อมกับความจุเพียง 3.0 ลิตร แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีการเสริมความแรงด้วยเทอร์โบคู่ และช่วยให้มันสามารถเค้นพลังได้มากถึง 900 แรงม้า PS ที่ 8,750 รอบ/นาที กับมีแรงบิดสูงสุดอีกกว่า 850 นิวตันเมตร ที่ 5,550 รอบ/นาที
เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยความเป็นรถเรือธง เครื่องยนต์ของมัน จึงได้รับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาอีก 3 ลูกด้วยกัน ได้แก่ ลูกแรก ติดตั้งไว้ที่เพลาขับหลัง ให้กำลังสูงสุด 81 PS สำหรับขับเคลื่อน และยังสามารถดึงไฟกลับขณะเบรกได้มากสุดอีกกว่า 95 PS ส่วนมอเตอร์อีก 2 ลูก จะติดตั้งไว้สำหรับช่วยกันขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลังรวมกันสูงสุด 286 PS และมีน้ำหนักรวมกันเพียง 61.5 กิโลกรัมเท่านั้น
และผลที่ได้ คือมันกลายเป็นรถที่มาพร้อมกับขุมกำลังซึ่งให้พละกำลังรวมกันสูงสุดกว่า 1,200 PS และยังทำให้มันกลายเป็นรถยนต์ระดับไฮเปอร์คาร์จาก Ferrari คันแรก ที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ถึงกระนั้น แม้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดรถมาจะมีกำลังพอสมควร ทว่าตัวรถก็ยังไม่มีโหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนอยู่ดี เนื่องจากแบตเตอรี่ของมันมีขนาดเพียง 2.3 kWh เท่านั้น
แถมทาง Ferrari ยังระบุว่า แม้เครื่องยนต์ที่ติดรถมาจะมีทั้งระบบเทอร์โบชาร์จ และเสริมกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มันจะยังคงให้อรรถรสในการใช้งานที่คล้ายกับเป็นเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศอยู่ดี ในขณะที่อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็สามารถทำได้ในระยะเวลาเพียง 2.15 วินาทีเท่านั้น และความเร็วสูงสุด ก็ถูกจำกัดเอาไว้ที่ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ด้านโครงสร้างตัวถัง มาพร้อมกับความน่าสนใจตรงที่ ทาง Ferrari ยังคงไม่ได้ออกแบบให้ F80 ใช้โครงสร้างตัวถังงานคาร์บอนทั้งคันเหมือนกับเหล่าคู่แข่ง แต่พวกเขากลับยังคงออกแบบให้มันมีชิ้นส่วนโครงคาร์บอนโมโนค็อกแค่เฉพาะในส่วนของห้องโดยสาร และในส่วนของชุดซับเฟรมด้านหน้า และซับเฟรมด้านหลัง กลับยังคงเป็นโครงอลูมิเนียมน้ำหนักเบาอยู่ ซึ่งเข้าใจได้ว่าอาจเพื่อความยืดหยุ่นในการออกแบบ และการติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆที่ซับซ้อนของตัวรถ
โดยในส่วนช่วงล่างของตัวรถ ยังคงถูกออกแบบให้มีทั้งความเบา แต่แข็งแรง และลู่ลมด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะตัวปีกนกของมัน เป็นงานอลูมิเนียม 3D Print ที่ถูกคำนวนทั้งในเรื่องของการรับแรง และออกแบบรูปทรงให้สามารถช่วยจัดการลมวนในซุ้มล้อได้ด้วย
ซึ่งหากเท่านั้นยังไม่พอ ตัวรถบบกันสะเทือน หรือโช้กอัพของมัน ยังถูกติดตั้งไว้ด้านบนของซับเฟรม และเชื่อมต่อกับชุดปีกนกด้านกระเดื่องกับก้านกระทุ้งเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการให้ตัวของโช้กอัพให้มากขึ้น และแน่นอนว่ามันจะต้องใช้ระบบโช้กอัพไฟฟ้าทำงานร่วมกับระบบเหล็กกันโคลงแยกอิสระทั้ง 4 ล้อ ซึ่งสามารถอ่านและปรับค่าการทำงานของตนเองได้ตามโหมดการขับขี่ที่ใช้งาน สถานการณ์การขับขี่ ณ เวลานั้นๆ รวมถึงตามสภาพผิวถนนแบบโค้งต่อโค้ง
ท้ายสุดในเรื่องของช่วงล่างคือระบบเบรก ซึ่งทาง Ferrari ระบุว่าพวกเขาได้ทำงานร่วมกับ Brembo เพื่อช่วยกันพัฒนาทั้งจานเบรกคาร์บอน คาลิปเปอร์เบรก และผ้าเบรกคาร์บอนใหม่ขึ้นมา ซึ่งส่งผลให้มันสามารถสร้างแรงเสียดทานสำหรับการเบรกได้มากกว่าระบบเบรกคาร์บอนเดิมๆถึง 300%
ในด้านงานออกแบบตัวรถ เราอาจไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสวยงามมากนัก เนื่องจากท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนบุคคล แต่ด้วยความที่มันคือรถยนต์ระดับเรือธง ทาง Ferrari จึงเลือกใช้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากอดีตรถเรือธงของแบรนด์อย่าง F40 ที่เหล่าสาวกหลายคนหลงไหล และทำให้มันมาพร้อมกับรูปทรงตัวถังที่เน้นความเตี้ยและแบนเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ เรายังจะเห็นได้ว่าทางค่ายม้าลำพองเลือกใส่ความดุดันเข้าไปในหลายจุดของตัวรถ ทั้งการออกแบบชิ้นส่วนแถบคาดแนวไฟหน้าสีดำ ตัดกับสีลำตัวรถ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจจากรถ Daytona SP นอกนั้นในเรื่องของการออกแบบช่องลมต่างๆก็แน่นอนว่าต้องถูกสร้างมาเพื่อให้ตัวรถสามารถสร้างแรงกดขณะขับใช้งานด้วยความเร็วสูงได้อย่างมหาศาลกว่า 1,050 กิโลกรัม ที่ความเร็วราวๆ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้มันสามารถสร้างแรงกดในระดับดังกล่าวได้ นอกจากเรื่องของรูปทรงตัวถัง ก็ยังมีทั้งในส่วนของชุดกันชนหน้า ซึ่งถ้าคุณสังเกตให้ดีก็จะพบว่าช่องดักลมตรงกลางของมัน จะมีไว้เพื่อดักอากาศให้ช้อนผ่านช่องกลางฝากระโปรงหน้าและไหลผ่านแนวหลังคาขึ้นไป และจะไหลไปยังชุดสปอยเลอร์หลังไฟฟ้าซึ่งสามารถปรับองศา และยกขึ้นจากตำแหน่งปกติได้อีก 200 มิลลิเมตร
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยการใช้โช้กไฟฟ้า จึงทำให้รถสามารถโหลดเตี้ยลงทางด้านหน้าได้อีก 25 มิลลิเมตร ด้านหลังอีก 20 มิลลิเมตร ส่งผลให้ตัวรถมีช่องว่างใต้ท้องรถน้อยลง และทำให้รถสามารถสร้างแรงดูดกับผิวถนนได้มากขึ้น ซึ่งเป็นหลักการที่ต่อยอดมาจากตัวแข่ง Formula 1 อีกที
ภายในห้องโดยสาร อาจไม่ได้มีความหวือหวามากนัก เพราะทาง Ferrari อยากให้ผู้ขับได้สัมผัสถึงบรรยากาศความเป็นตัวแข่งมากที่สุด ดังนั้น มันจึงถูกตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยชิ้นส่วนงานคาร์บอนด้าน และหนังอัลคันทาร่าในหลายๆจุด โดยที่คอนโซลหน้าแทบไม่มีปุ่มกดวุ่นวาย มีเพียงชุดจอแสดงผลตรงหน้าผู้ขับ และจออินโฟเทนเมนท์ขนาดเล็กตรงกลางซึ่งหันแนวเข้าหาผู้ขับก็เท่านั้น
ส่วนปุ่มสั่งการโหมดการขับขี่ และลูกเล่นต่างๆ จะถูกนำไปรวมไว้บนพวงมาลัยก้านคาร์บอนหุ้มหนังอัลคันทาร่าบริเวณจุดสัมผัสหลักแทน และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ตัวรถมาพร้อมกับเบาะนั่งแบบ 1+1 ซึ่งหมายความว่ามันจะมีเบาะที่เป็นตัวเบาะสามารถปรับระยะสูง-ต่ำ ใกล้-ไกล ได้เพียงอันเดียวเท่านั้น นั่นคือฝั่งผู้ขับ ส่วนเบาะที่นั่งของผู้โดยสาร จะเป็นแบบตายตัว แต่แปะตัวโฟมขึ้นรูปให้เป็นทรงเบาะลงไปบนตัวถังเท่านั้น เพื่อไล่น้ำหนักส่วนเกินซึ่งไม่จำเป็นต่อการหวดรถในสนามทิ้งไปให้มากที่สุด
โดยราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแบบไม่รวมภาษีเข้าไทย ของ Ferrari F80 จะสนนตัวเลขอยู่ที่ราวๆ 130 ล้านบาท และตัวรถจะถูกผลิตขึ้นด้วยจำนวนจำกัด 799 คัน ซึ่งอาจจะดูไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อยเมื่อเทียบกับความพิเศษของมัน ส่วนใครที่อยากเป็นเจ้าของรถ ก็ดูเหมือนว่าทาง Ferrari จะให้ความสำคัญ หรือให้สิทธิ์เฉพาะลูกค้าคนพิเศษของแบรนด์โดยหลักอยู่แล้วเท่านั้น ใช่ว่าแค่คุณมีเงินแล้วจะสามารถจับจองรถได้เลยเหมือนรถยนต์ทั่วๆไป