การแคมป์ปิ้ง ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ชาวญี่ปุ่นหลายคนชื่นชอบ และทางผู้ผลิตก็ทราบกันเป็นอย่างดี ซึ่งเจ้า Honda N-Box Joy รุ่นใหม่ล่าสุด ก็เกิดมาเพื่อสิ่งนี้เช่นกัน
หลังการเปิดตัวโฉมปรับใหญ่ไปเมื่อปีก่อน Honda N-Box ได้รับการปรับปรุงเพิ่มไลน์อัพใหม่อีกครั้ง กับรุ่น Joy ซึ่งในคราวนี้ มันคือรุ่นที่มีไว้เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการนำรถไปใช้งานในช่วงวันหยุดเพื่อทำกิจกรรมแคมป์ปิ้งตามแบบฉบับที่ชาวญี่ปุ่นหลายคนชอบ
และในเมื่อโจทย์ของตัวรถในครั้งนี้ คือเน้นการใช้งานเชิงสันทนาการดื่มดำธรรมชาติช่วงวันหยุด มันจึงมาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ ให้ดูบึกบึนขึ้น และยังเป็นชิ้นงานพลาสติกด้านเพื่อลดความกังวลใจของผู้ใช้ต่อการที่รถจะถูกขีดข่วนจากวัตถุต่างๆ เช่นเดียวกับที่กระจังหน้า, และกันชนท้าย พร้อมเสริมด้วยแผ่นพลาสติกกันกระแทกที่ชายล่างของบานประตูทั้ง 4 ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการใช้ชุดล้อลายเรโทรเฉพาะรุ่น
โดยหากรถเดิมๆยังหล่อไม่พอ ลูกค้ายังสามารถเลือกซื้อออพชันเสริม อย่าง กระจังหน้าสีดำเงา, ไฟตัดหมอก LED คู่หน้า, แร็คหลังคา, สปอยเลอร์หลัง, ชุดล้อลายใหม่, และสติ๊กเกอร์ลายเฉพาะรุ่นแยกในภายหลังจากโรงงานได้อีกด้วย
ภายในห้องโดยสารตัวรถ ก็มาพร้อมกับงานตกแต่งเฉพาะตัว ด้วยวัสดุหนัง+ผ้าหุ้มเบาะกันน้ำ สีดำสลับสีเบจ ลายสก็อต โดยที่ชุดเบาะแถวหลังสามารถพับราบ เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับนั่งกินลมชมวิวชิวๆสำหรับผู้ใช้ราวๆ 1-2 คนได้ ซึ่งหากยังไม่พอ เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารยังสามารถพับราบ เพื่อใช้พื้นที่ภายในห้องโดยสารในการทำห้องนอนได้อีก
แน่นอน ด้วยความเป็นรถสำหรับชาวญี่ปุ่นที่ชอบเก็บของจุกจิกมากมายอยู่แล้ว บริเวณด้านหลังเบาะแถวสองของมันยังมีช่องเก็บของสัมภาระลับให้อีก และเช่นเดียวกับภายนอกตัวรถ ทาง Honda ก็ไม่ลืมที่จะนำเสนอของเล่นเสริม ทั้ง ตาข่ายเก็บของ, ตะขอเกี่ยวของ, ผ้ากันลมกันฝน และอีกหลายรายการให้ลูกค้าได้เลือกซื้อกันอีก
และแม้จะเป็นรถยนต์เคคาร์ขนาดเล็กที่ราคาไม่สูงมากนัก แต่มันยังคงมาพร้อมกับลูกเล่นที่ครบครันตามแบบที่รถยนต์ยุคปัจจุบันควรมี เช่น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน และหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถขนาด 7 นิ้ว กับหน้าจอแสดงผลข้อมูลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 9 นิ้ว เป็นต้น
โดย N-Box รุ่นนี้ ยังคงมีทางเลือกขุมกำลังให้ลูกค้าได้เลือก 2 แบบ ดังเดิม ได้แก่ รุ่นเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง 658cc ไร้ระบบอัดอากาศ กำลังสูงสุด 58 PS และรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ลูกเดียวกันแต่เพิ่มระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์เข้ามา จนสามารถปั่นแรงม้าได้มากขึ้นเป็น 64 PS ซึ่งทั้งหมดจะทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ CVT เท่านั้น แต่ลูกค้ายังสามารถเลือกได้ว่าจะจับคู่มันเข้ากับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า หรือ 4 ล้อ ตามคำต้องการในการใช้งานของแต่ละคน
ส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะเริ่มต้นเพียง 1,844,700 เยน หรือราวๆ 430,000 บาท เท่านั้น และจะไปแพงสุดที่ 2,178,000 เยน หรือราวๆ 507,000 บาท โดยหากชาวไทยคนไหนสนใจ ก็มีแต่จะต้องสั่งผ่านเกรย์เท่านั้น เนื่องจากทาง Honda Automobile ยังไม่มีแผนการทำตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ในไทยเลยนั่นเอง
