หลังมีความพยายามในการที่จะทยอยเปิดเผยข้อมูลของตัวรถออกมาเรื่อยๆในช่วงเดือนที่ผ่านมา ล่าสุด Lamborghini Revuelto ซุปเปอร์คาร์เรือธงคันใหม่ล่าสุดของแบรนด์กระทิงดุก็ได้ถูกเผยโฉมในเป็นทางการสักที พร้อมรหัสประจำตัวว่า “LB744”
ย้อนไปเมื่อต้นเดือน Lamborghini ได้มีการเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคในส่วนขุมกำลังและระบบส่งกำลังแบบใหม่ของ Revuelto ไปแล้ว ซึ่งโดยสรุป มันก็จะยังคงมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 L545″ แบบเดียวกับรุ่นพี่ Aventador แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่
จนมีพละกำลังเพิ่มขึ้นจาก 780 PS (ใน Aventador Ultima ร่างสั่งลา) เป็น 825 PS ที่ 9,250 รอบ/นาที พร้อมพกแรงบิดสูงสุดติดตัวอีก 725 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบ/นาที กลายเป็นรถจากแบรนด์กระทิงดุที่ให้เครื่องยนต์แรงที่สุดเท่าที่ค่ายเคยทำมาในทันที
และเท่านั้นยังไม่พอ มันยังมีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 3 ลูก ที่ให้กำลังสูงสุดลูกละ 150 PS มาช่วยเสริมการทำงานในแบบ PHEV แบ่งเป็น 2 ลูกแรกสำหรับการขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้าเท่านั้น โดยไม่มีกำลังใดๆจากเครื่องยนต์มาช่วย
ส่วนอีกลูกมีไว้เสริมแรงบิดและกำลังให้กับเครื่องยนต์ผ่านชุดเกียร์แบบใหม่ ซึ่งเปลี่ยนจากแบบชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด เป็นเกียร์คลัทช์คู่ 8 สปีด ซึ่งติดตั้งแบบขวางลำตัวรถ ไม่ได้เป็นแบบวางแนวยาวตามตัวรถอีกต่อไป เพื่อลดความยาวของช่วงตัวรถให้สั้นลง และคุมจุดศูนย์ถ่วงตัวรถให้อยู่ตรงกลางมากที่สุด
ผลที่ได้จึงทำให้เจ้า Revuelto กลายเป็นรถซุปเปอร์คาร์ที่แรงที่สุดเท่าที่ Lamborghini เคยทำมา (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ด้วยพละกำลังสูงสุดจากขุมกำลังทั้งหมดที่มี คือ 1,015 PS พร้อมเรียกอัตราเร่งจาก 0-98 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 2.5 วินาที, 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 7.0 วินาที, และจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เช่นเดียวกับรถซุปเปอร์คาร์รุ่นอื่นๆ เมื่อมีการเพิ่มระบบไฮบริดเข้ามา โอกาสที่น้ำหนักตัวรถจะสูงขึ้นจากแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกใส่เข้าไปเพิ่มย่อมสูงขึ้นตาม จนทำให้เจ้า Revuelto มีน้ำหนักตัวมากกว่า Aventador Ultimae ถึง 222 กิโลกรัม จาก 1,550 กิโลกรัม เป็น 1,772 กิโลกรัม ซึ่งต้องบอกตามตรงว่ามันค่อนข้างหนักเอาเรื่อง เมื่อเทียบกับความเป็นรถซุปเปอร์คาร์ตัวแรง
แต่ชื่อเถอะครับว่าทาง Lamborghini ได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว (สำหรับตอนนี้) เพื่อลดน้ำหนักของเจ้านี่ลง ไม่ให้สูงเกินไป เพราะสิ่งที่มันได้เพิ่มมาจากรุ่นพี่อีกขึ้นก็คือ ชุดพาร์ทคาร์บอนที่มากกว่าเดิม เพราะนอกจากตัวห้องโดยสารจะเป็นแบบคาร์บอนไฟเบอร์ในทุกส่วนประกอบโครงสร้างแล้ว
คราวนี้ชุดซับเฟรมหน้า หรือแชสซีย์รถช่วงหน้า ที่เอาไว้เป็นจุดยึดมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสองตัว และระบบช่วงล่างด้านหน้าก็ทำจากคาร์บอนฟอร์จ ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกของค่าย ที่เลือกใช้วัสดุนี้ในส่วนดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งพวกเขาระบุว่ามันช่วยลดน้ำหนักลงได้ 20% และช่วยซับแรงกระแทกได้ดีกว่าเดิมถึง 2 เท่า แต่ซับเฟรมหลังยังคงใช้วัสดุโครงอลูมิเนียมอยู่
ด้านงานออกแบบของตัวรถ เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ มันก็ยังคงมาพร้อมกับรูปทรงลิ่ม หน้าทิ่ม ท้ายโด่งอันเป็นเอกลักษณ์เช่นเดิม แต่งานออกแบบหน้าตาภายนอกรอบคันก็ได้ถูกปรับใหม่ทั้งหมด ให้มันดูมีทั้งความดุดัน แหลมคม และมีเส้นสายสลับซับซ้อน มากยิ่งขึ้น แม้แต่ช่องดักลมต่างๆยังดูใหญ่โตและหวือหวาขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริเวณหน้าซุ้มล้อหลัง
และเมื่อมองทางด้านหลัง เราก็จะพบกับฝาปิดห้องเครื่อง ที่ถูกเปลี่ยนใหม่ ให้เป็นแบบบานกระจกตรงกลาง และขนาบข้างด้วยแถบรีดอากาศอย่างน้อย 3 ชั้น ซึ่งตัวกรอบฝาครอบที่ว่านี้ ก็ทำขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เช่นกัน ซึ่งทำให้ตัวรถดูดุดันขึ้นมาก เช่นเดียวกับสัดส่วนบั้นท้ายตัวรถ ที่ดูบึกบึนมากขึ้น
อีกจุดที่น่าสนใจ คือการวางตำแหน่งปลายท่อไอเสียคู่กรอบหกเหลี่ยม ให้มาอยู่ในระนาบเดียวกับไฟท้ายรูปตัว Y นอนขนานไปกับแนวพื้นโลก โดยที่กันชนท้าย ก็แน่นอนว่าจะมาพร้อมกับดิฟฟิวเซอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะได้แรงบันดาลใจมากจากเอกโซติกคาร์รุ่นพิเศษอย่าง Lamborghini Essenza SCV12
สุดท้ายคือชุดสปอยเลอร์หลัง ที่ถูกออกแบบให้สวยงาม รับกับสัดส่วนปลายท่อไอเสีย และแน่นอนว่ามันสามารถพับ หรือยกขึ้น-ลงได้อัตโนมัติตามความเร็ว หรือการเติมคันเร่ง การเบรก หรือจะปรับระดับตามความต้องการของผู้ใช้ หรือโหมดที่ตั้งเอาไว้ก็ได้
นั่นจึงทำให้หากเจาะประเด็นไปที่เรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์แล้ว มันจะสามารถสร้างแรงกดได้มากขึ้นถึง 33% ทางด้านหน้า และ 74% ทางด้านหลัง เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ Aventador Ultimae
ไม่ใช่แค่เพียงงานออกแบบบภายนอกเท่านั้น ที่ดุดันกว่าเดิม งานออกแบบภายในห้องโดยสาร ก็ยังน่าสนใจยิ่งกว่า และดูสวยงามกว่า ล้ำสมัยกว่า ด้วยคอนโซลหน้าที่ดูมีมิติ เส้นสาย และลูกเล่นเยอะกว่าเดิม ทั้งช่องแอร์กลาง แรงบันดาลใจจากยานอวกาศ (ในภาพยนต์ Sci-fi), หน้าจอแสดงผลมาตรวัดของตัวรถหน้าผู้ขับ แบบ Full-Digital TFT ที่มีขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว
ส่วนตรงกลาง ก็จะมีจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ และเอาไว้ปรับค่าโหมดอื่นๆของตัวรถเพิ่มเติม วางแนวตั้ง ขนาด 8.4 นิ้ว, กับจอแสดงผลแนวนอน หน้าผู้โดยสารขนาด 9.1 นิ้ว ซึ่งก็เป็นจอสำหรับระบบอินโฟเทนเมนท์ และปรับลูกเล่นต่างๆภายในรถเช่นกัน แถมยังสามารถลากการแสดงผลไปไว้ที่จอกลางได้ด้วย เพื่อแชร์ข้อมูลกับผู้ขับ
และนอกจากปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ กับปุ่มปรับการทำงานของระบบเกียร์ตรงกลางแบบเครื่องบินรบอันเป็นเอกลักษณ์ ปุ่มปรับโหมดการใช้งานตัวรถ และอื่นๆก็จะไปกองอยู่บนพวงมาลัยแบบตัดล่างแรงบันดาลใจจาก Essenza SCV12 ทั้งหมด และโหมดการขับขี่ที่ว่า ก็จะมีให้ผู้ใช้ได้ปรับเลือกถึง 13 แบบ
ตั้งแต่โหมดสำหรับการใช้งานในเมืองทีท่ไร้เสียงรบกวนชาวบ้าน และรักษ์โลก อย่างโหมด EV ที่จะเป็นการวิ่งด้วยกำลัง 180 PS จากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าเท่านั้น ไปจนถึงโหมดสำหรับการใช้งานในสนามแข่งที่จะเรียกแรงม้าจากขุมกำลังทุกส่วนออกมาเต็มๆ และจะไม่มีการเปิดระบบรีเจนฯแบตเพื่อหน่วงความเร็วของรถลงให้เสียจังหวะในการกดเวลาต่อรอบแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทางค่ายยังไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขใดๆออกมาทั้งสิ้น ดังนั้นสำหรับการวางจำหน่ายในประเทศไทย จึงอาจต้องใช้เวลากันอีกนิดจึงจะสามารถรับทราบตัวเลขที่แท้จริงได้ แต่จากการวิเคราะห์โดยคร่าวๆแล้ว เจ้า Lamborghini Revuelto อาจถูกตั้งราคาเอาไว้สูงถึง 50 กว่าล้านบาท เลยทีเดียวสำหรับการวางขายในบ้านเรา