Home » Mazda BT-50 อะไรคือสิ่งที่ทำให้มันยังน่าสนใจ ในปี 2024 ?
Bust Hint รถใหม่

Mazda BT-50 อะไรคือสิ่งที่ทำให้มันยังน่าสนใจ ในปี 2024 ?

ในปี 2024 ช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าหลายผู้ผลิตรถกระบะต่างพากันปรับโฉม ปรับออพชันรถของตนเองกันยกใหญ่ และนั่นก็รวมถึง Mazda BT-50 ที่หลายคนอาจมองข้ามไปโดยไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอีกด้วย

2024 Mazda BT-50 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในช่วงต้นปีที่ผ่านมาในงาน Motor Show 2024 ซึ่งในตอนนั้นหลายคนอาจจะยังมองไม่เห็นถึงความแตกต่างของมันเท่าไหร่นัก ทั้งๆที่หากเราลองไล่รายละเอียดกันดูดีๆ เราก็จะพบว่าทาง Mazda ได้ใส่ลูกเล่นใหม่ๆเพิ่มเข้ามาให้กับตัวรถมากมาย จนคุณอาจต้องมองมันใหม่จากภาพจำเดิมๆที่เคยเห็นในตัวรถโฉมก่อนหน้า

เริ่มจาก งานออกแบบตัวรถที่แม้โดยพื้นฐานจะยังคงเดิม แต่ในปี 2024 นี้ ทางค่ายได้มีการเพิ่มทางเลือกตัวรถพร้อมชุดแต่ง Black Thunder เป็นครั้งแรก จากที่ไม่เคยขายรถโฉมปัจจุบันพร้อมชุดแต่งพิเศษใดๆมาก่อนในไทย โดยมันจะมาพร้อมกับชิ้นส่วนสีดำเงามากมาย ทั้ง ชุดแต่งกันชนหน้า สปอร์ตบาร์ กระจกมองข้าง คิ้วตกแต่งซุ้มล้อ มือจับเปิดประตู และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ติดตั้งมาให้จากโรงงาน จึงยิ่งทำให้มันดูแข็งแกร่งอย่างลงตัวมากขึ้น และน่าจะถูกจริตผู้ใช้รถกระบะเมืองไทยมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกพอสมควร

และด้วยหน้าตาภายนอกแบบ KODO Design ที่คล้ายกับการเอาหน้าของ Mazda 3 ขยายใหญ่ให้เข้ากับสัดส่วนตัวรถเฉยๆ จะทำให้มันกลายเป็นรถกระบะที่ดูหน้าหวานเกินไปสักนิด แต่ส่วนตัวผู้เขียนกลับมองว่าด้วยงานออกแบบในลักษณะที่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปมากนี่แหล่ะ ที่ทำให้มันดูโดดเด่นและนั่นก็จะยิ่งทำให้คุณดูเป็นที่สนใจขึ้นมากเลยทีเดียวบนท้องถนน

ไม่ใช่แค่งานการปรับเปลี่ยนเพิ่มชุดแต่งครั้งแรกที่เห็นได้จากภายนอก ภายในห้องโดยสารของตัวรถเอง ก็ไม่เหมือนรถกระบะค่ายอื่นๆที่เน้นโทนสีดำ-แดง หรือไม่ก็ดำส้ม เพื่อเพิ่มความดุดัน และความสปอร์ตจนเกร่อ

เพราะภายในของ BT-50 รุ่นใหม่ จะแตกต่างด้วย เบาะหนังทูโทน สีน้ำตาล-ดำ ซึ่งให้บรรยากาศแบบผู้ใหญ่ เรียบหรูดูดีมากกว่า โดยไม่ใช่แค่ตัวโทนสีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานประกอบ หรือคุณภาพวัสดุของหนังหุ้มเบาะ ที่ยังคงมี “ความ Mazda” ใส่เข้ามาให้อย่างเต็มเปี่ยม

นอกจากนี้ เพื่อความทันสมัย ตังรถยังได้รับการอัพเกรดอุปกรณ์มาตรฐานใหม่เพื่อเน้นตอบสนองความต้องการในการใช้งานและไลฟสไตล์ของทั้งคนขับและผู้โดยสารยุคปัจจุบันแล้ว ทั้ง หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ใหม่ ที่ถูกติดตั้งมาในรุ่นเริ่มต้น และหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ทั้ง Apple CarPlay® แบบไร้สายและ Android Auto™ ให้ครบครัน

ระบบความปลอดภัยของตัวรถ ก็ได้รับการอัพเกรดทั้งตัวซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์อย่างกล้องตรวจจับวัตถุคู่หน้าเข้ามา เพื่อให้ระบบความปลอดภัยขั้นสูงอีกหลายรายการที่ใส่มาให้ครบครัน สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้ง

  • ABSM (Advance Blind Spot Monitoring) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน
  • RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
  • AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ
  • ACC แบบ Stop & Go (Adaptive Cruise Control with Stop & Go)
  • LDW (Lane Departure Warning ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน
  • FCW (Forward Collision Warning) ระบบเตือนการชนด้านหน้า
  • PMM (Pedal Misapplication Mitigation) ระบบช่วยตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด
  • MSL (Manual Speed Limiter) ระบบตั้งค่าจำกัดความเร็ว
  • AHB (Auto High Beam) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ

และเพื่อไม่ให้ลูกค้า BT-50 น้อยใจกันเอง ทาง Mazda ยังให้ถุงลมนิรภัยสูงสุดถึง 6 ตำแหน่ง พร้อมระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้าและด้านหลังรวมสูงสุด 8 ตำแหน่ง กล้องมองหลังตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการให้ลูกเล่นความปลอดภัยแบบไม่กั๊กของเลยนั่นเอง

ทางเลือกเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ครั้งแรกในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ หลังจากที่ปล่อยให้หลายคนต้องเมินหน้าหนีกันไปหลายครา เพราะพวกเขาอยากได้รถกระบะเครื่องแรงๆสักคันโดยไม่ต้องเป็นตัวขับเคลื่อน 4 ล้อ เนื่องจากไม่ได้จะเอารถไปลุย แถมยังทำให้รถกินน้ำมันโดยใช่เหตุ จากน้ำหนักที่ต้องแบกเพิ่ม

ในที่สุดสำหรับตัวรถ BT-50 รุ่นปี 2024 ก็ได้ถูกเพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์ รหัส 4JJ3-TCX ดีเซล 3.0 ลิตร เทอร์โบ ในรุ่นขับ 2 ยกสูง หรือรุ่น “Hi-Racer” สักที โดยแม้มันจะยังคงให้กำลังสูงสุดเท่าเดิมที่ 190 PS ที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดก็ยังคงอยู่ที่ 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที ไม่ได้สูงขึ้นไปตบกับเครื่องยนต์ของกระบะตัวแรงอื่นๆในตลาด

แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่เบาลงเพราะไม่ต้องแบกชุดเกียร์สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ บวกกับความเป็นเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ จึงทำให้มันกลายเป็นรถกระบะอีกหนึ่งรุ่นที่ให้อัตราเร่งติดเท้าตามรอบ ไม่มีการรอเค้น เหมือนกับรถกระบะรุ่นอื่นๆที่ใช้เครื่องยนต์ขขนาดเล็กกว่า

นอกจากนี้ ทาง Mazda ยังได้มีการปรับจูนสมองกลเกียร์ใหม่ ให้ต่างจากคู่แฝดอย่าง Isuzu D-Max ด้วย ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้เคยสัมผัสมา ก็พบว่า BT-50 รุ่นใหม่ ปี 2024 มาพร้อมกับการให้ความรู้สึกในจังหวะเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้งที่นุ่มนวลขึ้นมาก และที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือมันมีอาการรอจังหวะก่อนเปลี่ยนเกียร์ขาขึ้น (จังหวะอมเกียร์) ที่น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้รถมีความสามารถในการเรียกอัตราเร่งที่ต่อเนื่องกว่าเดิม แม้แต่การใช้งานรถแบบขับเดินทางชิลๆเอง ก็ยังรู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมด้วย

ท้ายสุดคือเรื่องของช่วงล่าง ที่ คุณอาจสงสัย ว่ามันเปลี่ยนแปลงด้วยหรือ ?

เพราะหากอ่านจากใบโบรชัวร์ เราอาจจะพบว่ามันไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งในส่วนของชุดกลไกพวงมาลัย ที่ยังคงเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ธรรมดา, ระบบกันสะเทือนหน้าปีกนกคู่, ระบบกันสะเทือนหลังแหนบซ้อนแผ่น, ระบบเบรกหน้าดิสก์ หลังดรัม, และชุดล้อขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง ขนาด 265/60 R18 เหมือนเดิม

แต่เช่นเดียวกับชุดระบบส่งกำลังที่เราระบุไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับตัวรถ BT-50 รุ่นล่าสุด ทาง Mazda ก็ได้มีการแอบปรับเซ็ทใหม่ โดยเฉพาะระบบเพาเวอร์พวงมาลัยใหม่ก็เช่นกัน

โดยจากที่ก่อนหน้านี้ ด้วยความที่มันใช้พื้นฐานร่วมกันกับ D-Max และดูเหมือนทาง Isuzu อาจจะไม่ยอมให้ Mazda ซนกับช่วงล่างเท่าไหร่นัก จึงทำให้หลายคนที่ได้ลองขับอาจไม่พบความต่างของ BT-50 กับคู่แฝด

แต่ในคราวนี้ มันได้กลับมาเป็นรถกระบะที่ให้การควบคุมนุ่มนวล และตามสั่งในฉบับของแบรนด์อีกครั้ง ระยะฟรีของพวงมาลัยก็น้อยลง แถมตัวช่วงล่างเองก็มีความนุ่มแน่นยิ่งขึ้น ไม่ติดกระด้างฉบับสายบรรทุกเหมือนร่างต้นอีกต่อไป ซึ่งแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดแบบรถคนละคันมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่ดี และควรจะเป็นมานานแล้วนั่นเอง

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า..

แม้ว่ามันจะยังคงใช้พื้นฐานร่วมกันกับ Isuzu D-Max ดังเดิม แต่สำหรับตัวรถ Mazda BT-50 รุ่นปี 2024 ก็ถือว่ามาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในหลายๆจุด ทั้ง จากการปรับปรุงลูกเล่นให้มีความทันสมัย ทั้งฟีเจอร์เพื่อความสะดวกสบาย และฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยที่ครบครัน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการเสริมออพชันใหม่ๆเข้ามา เพื่อให้ถูกจริตกับผู้ใช้เมืองไทยยิ่งขึ้น อย่างการเพิ่มชุดแต่งภายนอก ที่ทำให้รถดูสะดุดตา และบึกบึนแข็งแกร่งกว่าเดิม รวมถึงการตัดสินใจเอาเครื่องยนต์ตัวใหญ่ มาใส่ในตัวรถรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อสักที ซึ่งก็น่าจะช่วยเสริมฐานการตลาดของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนออพชันบางอย่างใหม่ เพื่อให้มันดูมีเอกลักษณ์เฉพาะในฉบับ Mazda มากกว่าเดิม ทั้งวิธีการเลือกตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยโทนสีที่เน้นความเป็นผู้ใหญ่ เข้มขรึม ถูกใจผู้ใหญ่ หรือวัยหนุ่มที่ต้องการความเรียบหรูมาก ซึ่งแตกต่างจากกระบะรุ่นอื่นๆในท้องตลาดที่เน้นแต่ความสปอร์ตจนหลายครั้งก็หน้าเบื่อเพราะดูจำเจ (ใครๆก็สปอร์ต)

ในส่วนของช่วงล่าง และระบบส่งกำลังเอง ก็มีการปรับเซ็ทใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่างจาก คู่แฝดอย่างสัมผัสได้ในทางบวก ดังนั้นคุณจะบอกว่าขับ BT-50 ก็เหมือนขับ D-Max อย่างเดิมไม่ได้แล้ว

เว้นเพียงแค่อะไหล่โครงสร้างหลักๆส่วนใหญ่ที่จะยังคงเบิกเทียบแทนจากคู่แฝดได้ดังเดิม ซึ่งก็มองว่าเป็นข้อดีมากกว่า เพราะหมายความว่าอะไหล่หลายอย่างจะยังคงถูกเหมือนกับของแบรนด์เจ้าตลาด แม้แต่ราคารถในภาพรวมเอง ก็ยังอยู่ในระดับกลาง ไม่ได้ถูก แต่ก็ไม่ได้แพงเกินไป เมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆที่ให้มา โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่าใคร มีแค่เพียงคู่แฝด และ Ford Ranger V6 เท่านั้นที่ให้ความจุเครื่องยนต์เท่ากัน (แต่ฝ่ายหลังสุดก็ราคากระโดดไปไกลหลายแสน)

แต่ คุณจะยอมเปิดใจรับกับสิ่งใหม่ หรือเห็นด้วยในสิ่งเราไล่เรียงไปว่าได้เกิดขึ้นกับเจ้า Mazda BT-50 รุ่นปี 2024 นี้หรือไม่ ? ก็คงต้องแล้วแต่คุณจะพิจารณาหลังการลองทดสอบจริงด้วยตนเองอีกทีแล้วล่ะครับ..

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.