Home » Mercedes-AMG GT 63 ซุปเปอร์คาร์เรือธงตราดาว เปิดขายไทย เริ่ม 15,900,000 บาท
รถใหม่ รถใหม่ในประเทศ ราคารถใหม่

Mercedes-AMG GT 63 ซุปเปอร์คาร์เรือธงตราดาว เปิดขายไทย เริ่ม 15,900,000 บาท

Mercedes-AMG GT 63 โมเดลใหม่ปี 2025 นับเป็นรถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์ตระกูล AMG GT เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกไปเมื่อกลางปี 2023 และล่าสุดตอนนี้มันก็ได้พร้อมแล้วสำหรับการวางจำหน่ายในไทย ด้วยราคาเริ่มต้น 15.9 ล้านบาท

2025 Mercedes-AMG GT 63 ยังคงมาพร้อมกับรูปทรงตัวถังหน้ายาว ท้ายสั้น และกลิ่นอายงานดีไซน์ที่ไม่หนีไปจากรุ่นพี่มากนัก แต่เพื่อให้ตัวรถดูทันสมัยมากขึ้น มันจึงได้รับการปรับเปลี่ยนในเรื่องของงานออกแบบกันชนหน้าใหม่และปรับกรอบไฟหน้าใหม่ให้ดูมีความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ไฟท้ายเองก็มีการปรับใหม่ ให้กรอบกว้างและยาวขึ้น โดยดีไซน์ให้มีลักษณะเป็นแถบคาดชิ้นเดียวตลอดแนวฝาท้าย และตัวกรอบดวงไฟด้านในเอง ก็ยังแบ่งเป็นฝั่งละ 3 ดวงชัดเจน

ด้านชุดกันชนท้ายก็มีการปรับงานออกแบบช่วงครึ่งล่างใหม่ ทั้งการแบ่งชิ้นส่วนเป็นครึ่งบนกับครึ่งล่าง แล้วเล่นสีทูโทน พร้อมกันนี้ยังมีการเพิ่มขนาดดิฟฟิวเซอร์รีดอากาศให้ใหญ่ขึ้น และจุดสุดท้ายที่สามารถเห็นได้ด้วยตา ก็คือโป่งซุ้มล้อหลัง ที่กว้างกว่าเดิม ซึ่งช่วยให้รถดูลงตัวมากขึ้นไปอีกขั้น

นอกจากนี้ตัวรถยังมีการปรับเปลี่ยนวัสดุงานประกอบตัวถังใหม่หลายจุดไม่ว่าจะเป็น เหล็ก, อลูมิเนียม, แม็กนีเซียม, และคาร์บอนคอมโพสิท เพื่อการไล่เบา แต่ในขณะเดียวกัน เพื่อปรับภาพลักษณ์ตัวรถให้ดูใหญ่โตขึ้น มันก็ส่งผลให้ตัวรถมีขนาดใหญ่โตขึ้นในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นความยาวมากขึ้นอีก 182 มิลลิเมตร เป็น 4,728 มิลลิเมตร, ความกว้างเอง ก็เพิ่มขึ้นอีก 48 มิลลิเมตร และสูงสุดขึ้นอีก 66 มิลลิเมตร รวมถึงระยะฐานล้อเอง ก็ยาวกว่าเดิมถึง 70 มิลลิเมตร เป็น 2,700 มิลลิเมตร

ภายในห้องโดยสารถูกปรับใหม่ ให้มีความเรียบง่ายมากขึ้น และมีการเอาปุ่มต่างๆซึ่งไม่จำเป็นไปไว้ในหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 11.9 นิ้ว จากเดิมที่เคยเป็นเพียงจอขนาดเล็กวางไว้อยู่เหนือแนวช่องแอร์ โดยมันจะมาพร้อมความสามารถในปรับระดับองศาการแสดงผลด้วยไฟฟ้า 12° ถึง 32° และระบบปฏิบัติการ MBUX7

ส่วนหน้าจอ Driver’s display เอง ก็มีขนาด 12.3 นิ้ว แบบ AMG-specific indicators พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel และเบาะหลังที่พับพนักพิงได้ในรถยนต์แบบ 2+2 ที่สามารถเลือกซื้อเพิ่มเติมได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน

พร้อมระบบความปลอดภัย Driving Assistance Package ที่รวมเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง และกล้องรอบคัน 360 องศา ที่จะแสดงภาพมุมมองรอบทิศทางแบบ Real-timeเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อเพิ่มเติมได้ในภายหลังเช่นกัน

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ ของลูกเล่นภายในห้องโดยสาร คือระบบถ่ายทอดเสียงเครื่องยนต์และเทอร์โบแบบ AMG Real Performance Sound โดยระบบจะแสดงเสียงภายในห้องโดยสารบริเวณคอนโซลกลาง สามารถถ่ายทอดเสียงเครื่องยนต์ได้อย่างเร้าใจตามแบบฉบับของ AMG และผู้ขับขี่สามารถควบคุมเสียงของเครื่องยนต์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น Sporty, Discreet (BALANCED), Motorsporty และ Emotive (POWERFUL) สามารถเลือกโหมดผ่านระบบปรับรูปแบบการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT โดยในโหมด S และ S+ จะสามารถถ่ายทอดพลังเสียงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ขุมกำลังของตัวรถ ยังคงใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร Bi-Turbo เช่นเดิม แต่ถูกปรับจูนใหม่ให้มีพละกำลังมากขึ้น โดยสำหรับตัวรถที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวรถรหัส 63 ก็จะได้เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังมากถึง 585 PS ที่ 5,500 – 6,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดขึ้นเป็น 800 นิวตันเมตร ที่ 2,350 – 5,000 รอบ/นาที พร้อมความสามารถในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 315 กิโลเมตร/ชั่วโมง

โดยส่วนหนึ่งที่ทำให้รถสามารถเรียกอัตราเร่งได้เร็ว ก็เป็นเพราะการที่ขุมกำลังของมัน จะทำงานร่วมกับระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9-Speed Sport Transmission ที่สามารถรองรับแรงบิดได้สูง และเปลี่ยนเกียร์ได้ในเวลาไม่ถึง 1 วินาที และยังมีการออกแบบทั้งระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้สามารถทำงานร่วมกันอย่างลงตัว รวมถึงระบบ RACE START ในจังหวะออกตัวเพื่อการทำอัตราเร่งที่ดีที่สุด

ขณะที่ระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC+ ถูกปรับจูนมีให้การตอบสนองการใช้งานให้สามารถเข้าโค้งได้ปลอดภัยและรวดเร็วโดยไม่เสียการควบคุม ด้วยการกระจายกำลังที่สั่งการจากระบบต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและแม่นยำตามสถานการณ์ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถทำเวลาในสนามแข่งได้ดีที่สุด

รวมถึงเบรกสมรรถนะสูงที่ออกแบบโดย Mercedes-AMG ที่มาพร้อมระบบเบรกแบบ Sports Braking System และช่องระบายอากาศเพื่อลดอุณหภูมิของเบรกเมื่อมีการใช้งานในความเร็วสูง

ไม่พอ ตัวรถยังมีระบบช่วยเหลือการควบคุมการเลี้ยวล้อหลังแบบ AMG Rear-Axle Steering โดยระบบจะทำงานแบบอัตโนมัติเมื่อความเร็วเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ด้วยการใช้ล้อหลังเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้า ไม่เกิน 0.7° หรือหากเป็นการขับด้วยความเร็วต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะเลี้ยวตรงกันข้ามกับล้อหน้า ไม่เกิน 2.5°

ส่วนช่วงล่างติดตั้งระบบ AMG RIDE CONTROL Sports Suspension รองรับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงเพื่อความปลอดภัยขณะเข้าโค้ง โดยผู้ขับขี่สามารถปรับระบบการทำงานของช่วงล่างได้มากถึง 3 ระดับ ได้แก่ Comfort, Sport และ Sport+ ระบบจะช่วยปรับบุคลิกของช่วงล่างให้เป็นไปตามโหมดที่ผู้ขับขี่เลือกใช้ ผ่านหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลาง หรือปุ่มบริเวณพวงมาลัย

โดย Mercedes-AMG GT 63 4MATIC+ วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 15,900,000 บาท พร้อมสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่ สีเหลือง (Sun Yellow) สีดำ (Obsidian Black) สีเงิน (High-tech Silver) สีเทา (Selenite Grey) สีน้ำเงิน (Spectral Blue) สีขาว (MANUFAKTUR Opalite White Bright) และสีแดง (MANUFAKTUR Patagonia Red Bright)

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.